ธนาคารกรุงเทพ ปรับจีดีพีโต 1.5-2.0% ยังไม่รวมผลกระทบพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา ห่วงไทยโดนภาษีทรัมป์ 36% คาดเอกชนสามารถรับได้คือ 25%

ธนาคารกรุงเทพ ปรับจีดีพีโต 1.5-2.0% ยังไม่รวมผลกระทบพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา ห่วงไทยโดนภาษีทรัมป์ 36% คาดเอกชนสามารถรับได้คือ 25%

เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยว่า ธนาคารกรุงเทพเคยประเมินแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจไทยตลอดทั้งปีไว้ที่ 3% ขณะนี้ได้ปรับประมาณการณ์การส่งออก ท่องเที่ยวชะลอตัวลง รวมถึงผลกระทบจากภาษีสหรัฐฯ และปัจจัยอื่นๆ คาดว่าเศรษฐกิจไทยทั้งปีจะโตได้ 1.5-2.0% ยังไม่ได้คำนวณผลกระทบจากการเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างไทยกับกัมพูชา

อย่างไรก็ตามคาดว่า ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยว และความมั่นใจของนักลงทุน และการใช้จ่ายของประชาชนในประเทศระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น ดังนั้นคาดทั้งปี 2568 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวต่ำกว่า 1.5% หากยังเป็นลักษณะนี้ คาดว่าจะเป็นส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยปีหน้าจะขขายตัวได้ไม่ค่อยดีเช่นกัน ดังนั้นประเมินว่าเศรษฐกิจไทยจะยังขยายตัวต่ำต่อเนื่อง 2 ปี (ปี 2568-2569)

ส่วนการเจรจาภาษีทรัมป์ ยอมรับว่ามีความกังวลสหรัฐจะประกาศบังคับใช้ภาษีนำเข้า ปัจจุบันไทยโดนเก็บ 36% จะส่งผลกระทบหนักโดยเฉพาะภาคการส่งออก ไทยพึ่งพาการส่งออกถึง 60% ไทยจะไม่มีรายได้ในอนาคต จะส่งผลกระทบระยะยาว อีกทั้งคู่แข่งในภูมิภาค อาทิ อินโดนิเซีย เวียดนาม ญี่ปุ่น สามารถปิดดีลอัตราภาษีที่ 15-20% จะส่งผลทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้าหนัก ทำไทยเสียเปรียบคู่แข่ง โดยบริษัทหลายแห่งกำลังมองหาประเทศลงทุน มี เวียดนาม อินโดนิเซีย ไทย หากไทยโดนภาษี สหรัฐ 36% นักลงทุนคงไม่มองไทยเพราะมีภาษีแตกต่างกว่า 16%

ทั้งนี้อัตราภาษีได้เอกชนสามารถยอมรับได้คือ 25% แม้ต่างจากประเทศต่าง ๆ 5% แต่เอกชนปรับตัวได้ ปกป้องการเกษตรได้ แม้จะกระทบต่ออุตสหกรรมภาคการเกษตรบางส่วน แต่ส่งออกยังไปต่อได้ระยะยาว ขณะที่เงินซอฟต์โลน 200,000 ล้านบาท รัฐบาลตรียมไว้เยียวยาผลกระทบ คาดว่น่าจะเพียงพอ และไทยยังมีรายได้จากอุตสาหกรรมใหม่ที่จะลงทุนในไทย การย้ายฐานก็ยังมาไทย ยังเป็นทางเลือกเอกชนปรับตัวได้ รายได้จากส่งออกนำมาเยียวยาอุตสาหกรรมต่าง ๆ อย่างไรก็ดี ข้อมูลจาก สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) ครึ่งปีแรก (มกราคม – มิถุนายน2568 ) มีตัวเลขการลงทุนจากต่างประเทศ (เอฟดีไอ)ส่งคำขอเข้า มูลค่ากว่า 1 ล้านล้านบาท

โดยขณะนี้ การตัดสินใจลงทุนตอนนี้ขึ้นอยู่กับภาษีสหรัฐ หากไทยได้ภาษีไม่ต่างจากประเทศในภูมิภาคมากเขาอาจจะลงทุนไทย กรณีการวางตัวของประเทศไทยระหว่าง 2 ประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาและจีนนั้น เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นที่ถูกหยิบยกในเวทีระหว่างประเทศมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยจะยิ่งทวีความสำคัญมากขึ้นในอนาคต สำหรับประเทศไทยคำถามเหล่านี้จะเกิดขึ้นมากขึ้นเช่นกัน เช่น กรณีฐานทัพที่พังงา หรือโครงการในพื้นที่อู่ตะเภาในอนาคต ดังนั้น ประเทศไทยควรเตรียมจุดยืนของตนไว้ให้พร้อม โดยเฉพาะจุดยืนที่ ไม่เลือกข้าง และรักษาความเป็นกลางให้ได้มากที่สุด

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles