ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่าในการประชุมเดือนมิ.ย.68 ธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 5.50% ตามตลาดคาดการณ์ หลังปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนพ.ค.68 ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน รวมถึงสถานการณ์เรื่องสงครามการค้าที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง มีรายละเอียด ดังนี้
ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่านเพิ่มแรงกดดันต่อการอ่อนค่าเงินรูเปียห์ เมื่อวันศุกร์ที่ 13 มิ.ย.68 กองทัพอิสราเอลเปิดปฏิบัติการโจมตีทางอากาศในพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของกรุงเตหะราน เมืองหลวงของอิหร่าน ซึ่งปัจจุบันทั้งสองฝ่ายยังมีการโจมตีกันต่อเนื่องส่งผลให้นักลงทุนเข้าซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยและสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้นซึ่งกดดันค่าเงินรูเปียห์ให้มีแนวโน้มอ่อนค่า
สถานการณ์สงครามการค้าของสหรัฐฯ ยังมีความไม่แน่นอนสูง โดยปัจจุบันอินโดนีเซียอยู่ระหว่างการเจรจาข้อตกลงกับสหรัฐฯ โดยยังไม่ได้มีการเปิดเผยรายละเอียด ทั้งนี้ การส่งออกไปตลาดหลักของอินโดนีเซียอาจชะลอตัวลงหากสหรัฐฯ เก็บ Reciprocal tariffs ในอัตราสูงสุด
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่าช่วงครึ่งหลังของปี 2568 นโยบายการเงินของอินโดนีเซียยังมีทิศทางผ่อนคลาย โดยคาดว่ามีโอกาสลดดอกเบี้ยอีกอย่างน้อย 1 ครั้งเพื่อสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจของอินโดนีเซีย มีปัจจัยสนับสนุน ดังนี้
ราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นจากความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่านจะกดดันเศรษฐกิจอินโดนีเซียที่เป็นประเทศผู้นำเข้าน้ำมันดิบสุทธิ หากความขัดแย้งดังกล่าวยืดเยื้อออกไปจะยิ่งส่งผลกระทบต่องบประมาณขาดดุลของอินโดนีเซีย เนื่องจากรัฐบาลอาจต้องใช้งบประมาณเพิ่มขึ้นในการอุดหนุนราคาน้ำมัน
กิจกรรมการลงทุนในประเทศที่ยังมีทิศทางอ่อนแอ หลังยังมีความไม่แน่นอนเรื่องการปรับขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐบาลอาจเข้ามาสนับสนุนการใช้จ่ายในประเทศได้ชั่วคราว แต่คาดอาจยังไม่เพียงพอที่จะกระตุ้นการลงทุนภายในประเทศ
เงินเฟ้อยังอยู่ในกรอบของธนาคารกลางที่ 1.5-3.5% สนับสนุนการปรับลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยล่าสุดอัตราเงินเฟ้อในเดือนพ.ค.68 ผ่อนคลายลงอยู่ที่ 1.6% เทียบช่วงเดียวกันในปีผ่านมา จาก 1.95% ในเดือนเม.ย.68 ที่ราคาสินค้าและบริการเพิ่มขึ้นจากเทศกาลวันอีดิลฟิตรี (Eid al-Fitr)