นายอาคาช โดชิ หัวหน้าสายงานวิจัยตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ ภูมิภาคอเมริกาเหนือ ธนาคารซิตี้กรุ๊ป ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์ยักษ์ใหญ่ชื่อดังระดับโลก เปิดเผยว่า ในระยะกลางแล้ว มีโอกาสถึง 25% ที่ราคาทองคำตลาดโลกจะเพิ่มขึ้นไปเฉลี่ยที่ระดับ 2,300 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ในช่วงครึ่งหลังของปี 2024 นี้ ส่วนระยะยาว คาดการณ์ว่า ราคาทองคำโลกจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องไปแตะที่ระดับ 3,000 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ภายใน 12-16 เดือนข้างหน้า อย่างไรก็ตาม ในกรณีฐาน หรือเป็นไปได้มากสุดในช่วงสั้น จะเห็นราคาทองคำโลกที่ระดับ 2,150 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์
สาเหตุจากนักลงทุนมองทองคำเป็นเครื่องมือประกันภาวะตลาดหรือเศรษฐกิจถดถอย นอกจากนี้ ปัจจัยเสี่ยงและความไม่แน่นอนสูงใหม่ คือ การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาที่จะมีขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2024 นี้ ซึ่งเป็นทราบกันดีว่า จะเป็นการกลับมาท้าชนกันระหว่างประธานาธิบดีปัจจุบัน คือ นายโจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครต และอดีตประธานาธิบดีสหรัฐ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนอิสระจากพรรครีพลับริกัน ซึ่งนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศจุดยืนชัดเจนในการใช้นโยบายอย่างรุนแรงทั้งกีดกันและตอบโต้ด้านเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศกับจีนแผ่นดินใหญ่ รวมถึงจะมีการไม่ต่ออายุนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาเมื่อครบวาระด้วย
ด้านนักวิเคราะห์จากเบอร์เรนเบิร์ก เปิดเผยว่า ปัจจัยการเมืองในสหรัฐโดยเฉพาะการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่มีผลอย่างมากกับแนวโน้มราคาทองคำ หากอดีตประธานาธิบดีสหรัฐ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนอิสระจากพรรครีพลับริกัน ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ จะเป็นปัจจัยบวกต่อราคาทองคำตลาดโลก
สำหรับสถาบันการเงินชื่อว่า แม็คควอรี เปิดเผยว่า ราคาทองคำตลาดโลกจะเพิ่มสูงขึ้นอีกในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ถึงแม้ว่าความต้องการซื้อทองคำแท่งในตลาดทั่วโลกมีเพิ่มต่อเนื่องทำให้ราคาทองคำเพิ่มขึ้นก็ตาม แต่ปัจจัยหนึ่งมาจากการซื้อสัญญาทองคำล่วงหน้าอย่างต่อเนื่องจากนี้ไป ซึ่งสะท้อนจากราคาทองคำที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องมากกว่า 100 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ในช่วงต้นเดือนนี้เป็นต้นมา
นายเชากาย แฟน หัวหน้านักวิเคราะห์สายงานสถาบันธนาคารโลก แห่งสภาทองคำโลก หรือ WGC เปิดเผยว่า ธนาคารกลางสำคัญและทั่วโลก ซึ่งซื้อทองคำสะสมมากเป็นประวัติศาสตร์ในช่วง 2 ปีผ่านมานั้น ยังคงเป็นผู้ซื้อทองคำในตลาดโลกมากที่สุดต่อไปในปีนี้ โดยพฤติกรรมที่น่าจับตามอง คือการซื้อสะสมทองคำที่ทำให้ราคาทองคำเพิ่มสูงขึ้นนั้นเกิดขึ้นท่ามกลางอัตราดอกเบี้ยทรงตัวระดับสูง และค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าระดับสูง ซึ่งเป็นผลข้างเคียงที่มาจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ในหลายภูมิภาคของโลกที่คุกคามความไม่สงบและกระทบต่อการค้าการลงทุนโลก