ธนาคารโกลด์แมน แซคส์ ลดเป้าหมายอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาในปี 2025 นี้ลงจากเดิมที่ 2.4% มาเหลือเพียง 1.7% นับเป็นมุมมองตัวเลขจีดีพีสหรัฐที่ลดต่ำลงจากภาพส่วนใหญ่เป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปีครึ่ง รวมถึงเมื่อวันศุกร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ผ่านมา กองทุนประกันความเสี่ยงในสหรัฐอเมริกาขายหุ้นออกจากพอร์ตการลงทุนมากที่สุดในรอบ 2 ปีกว่า เพื่อลดการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐ
นายแจน แฮทเซียส หัวหน้านักเศรฐศาสตร์ ธนาคารโกลด์แมน แซคส์ เปิดเผยว่านโยบายการค้าของรัฐบาลสหรัฐชุดปัจจุบันได้กลายเป็นส่งผลในทิศทางรุนแรงมากขึ้น และ และรัฐบาลชุดปัจจุบันกำลังส่งสัญญาณเกี่ยวกับผลกระทบของนโยบายดังกล่าวในช่วงระยะสั้น ที่จะทำให้ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐอ่อนแอลง ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐเริ่มมีสัญญาณอ่อน แอนับตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ในปี 2024 ที่ขยายตัวระดับ 3.1% ลงมาเหลือที่ 2.3% ในไตรมาสที่ 4 ของปีผ่านไป
สาเหตุจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ใช้นโยบายและมาตรการการค้าที่รุกไปข้างหน้าอย่างเกินคาดหมาย สร้างความเสี่ยงสูงมากขึ้นต่อราคาสินค้าที่จะเพิ่มสูงขึ้น ภาวะตลาดการเงินตึงตัว และทำให้เอกชนชะลอการลงทุน ที่สำคัญ อัตราภาษีศุลกากร หรือภาษีนำเข้าสินค้าเฉลี่ยเพิ่ม สูงสูงถึง 10% ซึ่งมากกว่าถึง 2 เท่า เมื่อเปรียบเทียบกับการคาดการณ์เดิม และยังผู้สูงมากกว่า 5 เท่าเมื่อเทียบกับเมื่อเทียบกับอัตราภาษีนำเข้าสินค้าในยุคสมัยแรกที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดีคนที่ 45 เมื่อปี 2017
ถึงแม้ว่าประธานาธิบดีสหรัฐนายโดนัลด์ ทรัมป์ จะชะลอการบังคับเก็บขึ้นภาษี 25% กับประเทศเม็กซิโก และแคนาดาในสินค้าที่ใช้สิทธิข้อตกลงเขตการค้าเสรียูเอสเอ็มซีเอ (USMCA) ก็ตาม แต่หลังจากนั้นในช่วง 2-3 เดือน คาดว่ารัฐบาลสหรัฐจะสั่งให้มีการดำเนินการนโยบายเก็บขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์ สินค้าจำเป็น และภาษีต่างตอบแทน
ธนาคารโกลด์แมน แซคส์ เปิดเผยต่อไปว่านโยบายภาษีที่จะสร้างความเสียหายมากที่สุดของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ คือนโยบายภาษีต่างตอบแทน หรือ Reciprocal โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มสหภาพยุโรป หรืออียู คาดว่าจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง ซึ่งในทุกวันนี้ กลุ่มอียูจัดเก็บอัตราภาษีซื้อสินค้าทั่วไปที่ระดับ 20%
นอกจากนี้นักลงทุนล้วนมองว่าความไม่ชัดเจนและไม่แน่นอนของการบังคับใช้มาตรการขึ้นภาษีทั้งหมดของประธานาธิบดีสหรัฐ นายโดนัลด์ ทรัมป์ สร้างความไม่แน่นอน และความเสี่ยงสูงอย่างต่อเนื่องและตลอดเวลา