ธนาคารโลก เปิดเผยว่า ในปี พ.ศ. 2567 ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก (East Asia and Pacific: EAP) มีการเติบโตทางเศรษฐกิจเร็วกว่าภูมิภาคอื่นๆ ของโลก ทั้งนี้ ในการรักษาแนวโน้มการเติบโตและการสร้างงานให้คงอยู่ต่อไปได้นั้น ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกจำเป็นต้องหาทางรอดท่ามกลางโลกที่ผันผวนและรับมือกับความท้าทายระยะยาวที่เกิดจากภาพรวมของการทำธุรกิจโลก (global integration) การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของประชากรให้ได้
ในการอัปเดตเศรษฐกิจของภูมิภาคปี พ.ศ. 2568 ธนาคารโลกคาดการณ์ว่าในปี พ.ศ. 2568 อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกจะลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 4.0 จากเดิมที่อยู่ที่ร้อยละ 5.0 ในปี พ.ศ. 2567 อย่างไรก็ดี แนวโน้มการเติบโตดังกล่าวอาจปรับเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับแนวโน้มการเติบโตในภาพรวมและอีกส่วนขึ้นอยู่กับนโยบายในการตอบสนองต่อความไม่แน่นอนของสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจโลกของแต่ละประเทศ ทั้งนี้ อัตราความยากจนในภูมิภาคนี้จะยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าในช่วงปี พ.ศ. 2567 ถึง พ.ศ. 2568 ประชากรราว 24 ล้านคนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกจะหลุดพ้นจากความยากจนได้ อ้างอิงตามเส้นแบ่งความยากจนของผู้มีรายได้ปานกลางถึงสูง
ความไม่แน่นอนในระดับสากลที่เพิ่มมากขึ้นกำลังส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของทั้งภาคธุรกิจและผู้บริโภค ส่งผลให้การลงทุนและการบริโภคถูกจำกัด นอกจากนี้ การส่งออกของประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกก็คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากข้อจำกัดทางการค้า ในขณะที่การเติบโตของเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลงก็มีแนวโน้มที่จะส่งผลทำให้อุปสงค์ภายนอกประเทศยังคงลดลงต่อไป
มานูเอลา วี. เฟอโร รองประธานธนาคารโลกประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก กล่าวว่า ในขณะที่ต้องหาทางรอดท่ามกลางโลกที่ผันผวน ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกก็ยังมีโอกาสที่จะรักษาแนวโน้มทางเศรษฐกิจของตนเองให้แข็งแกร่งขึ้นได้โดยการลงทุนและรับเอาเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ รวมถึงเพิ่มโอกาสทางธุรกิจผ่านการปฏิรูปอย่างจริงจัง และสร้างความร่วมมือระดับสากลในเชิงลึกมากยิ่งขึ้น
ธนาคารโลกยังคาดการณ์ตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจในปี พ.ศ. 2568 ของแต่ละประเทศในภูมิภาคไว้ดังนี้:
ประเทศมองโกเลียร้อยละ 6.3
ประเทศเวียดนามร้อยละ 5.8
ประเทศฟิลิปปินส์ร้อยละ 5.3
ประเทศอินโดนีเซียร้อยละ 4.7
ประเทศจีนคาดว่าจะมีการเติบโตอยู่ที่ร้อยละ 4.0
ประเทศกัมพูชาร้อยละ 4.0
ประเทศมาเลเซียร้อยละ 3.9
สปป.ลาวร้อยละ 3.5
ประเทศไทยร้อยละ 1.6
ส่วนภาพรวมของประเทศในหมู่เกาะแปซิฟิกนั้นคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณร้อยละ 2.5