ธนาคารไทยพาณิชย์ มองเงินบาทอ่อนค่าสั้น-แข็งค่ายาว คาดช่วงปลายปีนี้ เคลื่อนไหวในกรอบ 31.25 – 32.25 บาทต่อดอลลาร์ 

นายวชิรวัฒน์ บานชื่น นักกลยุทธ์ตลาดการเงินอาวุโส SCB Financial Markets (SCB FM) ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า กล่าวว่า ในช่วงนี้ เงินบาทอ่อนค่าลงเร็ว จากที่กลางเดือน ก.ย. เคยแข็งค่า เนื่องจาก แม้จะมี US Government Shutdown ที่ตามตำราควรทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่า แต่จากการที่ตลาดขาดตัวเลขเศรษฐกิจของรัฐบาลสหรัฐฯ จึงไปให้ความสำคัญตัวเลขภาคเอกชน ที่ออกมาค่อนข้างดี และให้ความสำคัญกับนโยบายการเงิน ที่คณะกรรมการ Fed ส่งสัญญาณความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ ไม่รีบลดดอกเบี้ย จึงหนุนให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond Yield) ของสหรัฐฯเพิ่มขึ้น ทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ กลับมาแข็งค่า อีกประเด็นมาจาก การซื้อทองคำ โดยปกติเมื่อราคาทองคำปรับขึ้น นักลงทุนมักขายทำกำไร ถือเงินบาท แต่ช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้ลงทุนมีพฤติกรรมเปลี่ยนไป เมื่อราคาทองคำปรับขึ้น กลับเข้าซื้อทองคำเพิ่ม เพราะมองว่าราคาจะขึ้นต่อ จึงกดดันเงินบาทอ่อนค่า

ในระยะสั้น ยังมีแรงกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าอยู่ โดยกรณีที่ US Government Shutdown ยังดำเนินต่อไป ตลาดจะไปให้ความสำคัญปัจจัยที่ Fed อาจยังไม่ลดดอกเบี้ยแรง ถ้าตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ไม่ได้ออกมาแย่ ตลาดจะยังไม่กังวลประเด็นด้านเศรษฐกิจนัก หรือกรณี US Government Shutdown จบเร็ว ก่อนตัวเลขสำคัญของสหรัฐฯ ออกมา โดย เงินบาทมีโอกาสทดสอบใกล้ระดับ 33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ได้ ส่วนในระยะยาว เงินบาทมีแนวโน้มเผชิญแรงกดดันด้านแข็งค่า จากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างไทยและสหรัฐฯ ที่แคบลง แม้ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คนใหม่ มีมุมมอง Dovish เน้นการดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย คาดว่า ธปท. จะลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง โดยลดปลายปีนี้ 1 ครั้ง และต้นปีหน้าอีก 1 ครั้ง แต่อาจจะน้อยกว่า Fed ที่คาดว่าจะลดดอกเบี้ย 4 ครั้ง โดยลดในปีนี้อีก 2 ครั้ง และปีหน้าอีก 2 ครั้ง นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยจากสกุลเงินอื่นที่เป็นสกุลเงินหลักของโลก เช่น เงินยูโร ที่อ่อนค่า จากประเด็นความกังวลทางการเมือง แต่มองไปข้างหน้าคาดว่า เงินยูโรจะกลับมาแข็งค่าจากแผนการใช้จ่ายภาครัฐเพิ่มเติมของเยอรมนี ซึ่งจะทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่า เงินบาทก็จะแข็งค่าขึ้นตาม และอีกประเด็นคือ เงินทุนเคลื่อนย้าย เมื่อเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่า ก็จะดึงดูดเงินทุนไหลมายังตลาดเกิดใหม่เอเชีย

ทั้งนี้ นายวชิรวัฒน์คาดว่า ปลายปีนี้ เงินบาทจะอยู่ที่ประมาณ 31.25 – 32.25 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ จึงแนะนำผู้ส่งออกป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทำ Hedging หรือ Forward เมื่อเงินบาทอ่อนค่าใกล้ 33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ไม่ควรรอให้ทะลุ 33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่ช่วงที่ผ่านมาความผันผวนของค่าเงินลดลง ทำให้ต้นทุนการซื้อสิทธิที่จะซื้อหรือขายเงินตราต่างประเทศ (FX Options) ถูกลง ดังนั้น ทั้งผู้ส่งออกและผู้นำเข้าอาจพิจารณาทำ Options นอกจากนี้ อาจพิจารณาเปิดบัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศ (Foreign Currency Deposit : FCD) เพื่อรับดอกเบี้ยสกุลต่างประเทศที่สูงกว่า หรือพิจารณาผลิตภัณฑ์การลงทุน Dual Currency Investment : DCI หุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง ที่ออกแบบมาเพื่อผู้ลงทุนที่ต้องการใช้สกุลเงินต่างประเทศในอนาคต และแนวทางสุดท้าย อาจพิจารณาทำธุรกรรมการค้าโดยใช้สกุลเงินท้องถิ่นของคู่ค้าโดยตรง เช่น เยน หยวน หรือยูโร เพื่อลดความผันผวนเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ และลดต้นทุนการแปลงสกุลเงินด้วย

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles