ธุรกิจครอบครัวอยู่รอดในรุ่นที่ 2 เพียง 30% ส่งต่อรุ่นที่ 3 ได้เพียง 12% มาเหลือเพียง 3% รอดไปสู่รุ่นที่ 4

ธุรกิจครอบครัว อยู่รอดในรุ่นที่ 2 เพียง 30% ส่งต่อรุ่นที่ 3 ได้เพียง 12% มาเหลือเพียง 3% รอดไปสู่รุ่นที่ 4

เส้นทางการส่งต่อธุรกิจครอบครัวมักไม่โรยด้วยกลีบกุหลาบ นายพีระพัฒน์ เหรียญประยูร Managing Director – Wealth Planning and Non-Capital Market Head, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ลูกค้าบุคคลสินทรัพย์สูงกว่า 90% ของธนาคาร เป็นเจ้าของธุรกิจ และหลายๆ ครอบครัวกำลังเผชิญความท้าทายในการส่งต่อธุรกิจ พบว่ามีทายาทจำนวนมากไม่ต้องการรับช่วงต่อ แต่ต้องการอิสระในการใช้ชีวิต เลือกอาชีพหรือทำธุรกิจของตัวเองมากกว่า ครอบครัวจึงจำเป็นต้องหาทางออก ในการทำให้ธุรกิจครอบครัวยังสามารถดำเนินต่อไปได้

ผลสำรวจยังพบว่า หากไม่ได้เตรียมพร้อมวางแผนในการส่งต่อ จะมีธุรกิจครอบครัวที่สามารถอยู่รอดในรุ่นที่ 2 เพียง 30% ส่งผ่านไปสู่รุ่นที่ 3 ได้เพียง 12% และเหลือเพียง 3% ที่รอดไปสู่รุ่นที่ 4 ยิ่งไปกว่านั้น ความอ่อนไหวของธุรกิจครอบครัวไม่ได้เกิดจากการเปลี่ยนผ่านจากรุ่นสู่รุ่นเท่านั้น แต่ปัจจัยจากตัวธุรกิจเองก็มีผลทำให้ธุรกิจครอบครัวล่มสลายลงได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น การจัดการที่ไม่เป็นระบบ ปัญหาความโปร่งใส ระบบการตรวจสอบหละหลวม จนเป็นเหตุให้เกิดการฉ้อโกง ผู้บริหารขาดวิสัยทัศน์ ขาดบุคลากรที่มีความสามารถ ขาดการวางแผนสืบทอดธุรกิจและกระบวนการคัดเลือกผู้บริหาร เป็นต้น

KBank Private Banking เปิดเผยว่า ปัจจุบันโลกกำลังเผชิญการเปลี่ยนปลงมากมาย หนึ่งในปรากฏการณ์สำคัญที่น่าจับตา คือ ‘การส่งต่อความมั่งคั่งระหว่างรุ่นครั้งใหญ่’ (The Great Wealth Transfer) มีการคาดการณ์ว่าในปี 2573 ผู้มีสินทรัพย์สูงทั่วโลกจะส่งต่อความมั่งคั่งมูลค่าสูงถึง 18.3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ (662 ล้านล้านบาทไทย) โดยผู้มีสินทรัพย์สูงในภูมิภาคเอเชียจะส่งต่อทรัพย์สินมูลค่า 2.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (90 ล้านล้านบาทไทย) โดยธุรกิจครอบครัวถือเป็นแหล่งที่มาของทรัพย์สินที่สำคัญสำหรับผู้มีสินทรัพย์สูง อย่างไรก็ดี

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles