ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่าในปี 2569 รายได้รวมของธุรกิจผลิตภัณฑ์น้ำคาดว่าจะเติบโตราว 0.4% โดยได้รับแรงหนุนจากรายได้การจำหน่ายน้ำประปาและน้ำอุตสาหกรรมที่เพิ่มสูงขึ้น ขณะที่รายได้จากน้ำดิบคาดว่าจะลดลงจากปีก่อนหน้า
โดยรายได้จากการจำหน่ายน้ำประปาคาดว่าจะโต 0.9% ในปี 2569 จากจำนวนผู้ใช้น้ำประปาที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แม้อุปสงค์จากภาคการท่องเที่ยวจะมีทิศทางลดลง ขณะที่รายได้จากการจำหน่ายน้ำอุตสาหกรรมคาดว่าจะโต 7.0% จากปริมาณการจำหน่ายที่เติบโต และสัดส่วนการจำหน่ายน้ำมูลค่าเพิ่มที่มากขึ้น
อย่างไรก็ดี น้ำดิบเป็นผลิตภัณฑ์เดียวที่รายได้จากการจำหน่ายในปี 2569 มีแนวโน้มลดลง โดยคาดว่าจะหดตัวราว 5.3% จากอุปสงค์ที่ลดลงของภาคอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นตลาดหลักและมีราคาขายที่สูงกว่าภาคอุปโภคบริโภค
สำหรับธุรกิจผลิตภัณฑ์น้ำในปัจจุบัน รายได้จากการขายน้ำประปามีสัดส่วนสูงสุด อยู่ที่ราว 56% รองลงมาคือน้ำดิบที่ราว 24% และน้ำอุตสาหกรรมที่ราว 20%
ในปี 2569 รายได้รวมจากการขายผลิตภัณฑ์น้ำทุกประเภทคาดกว่าจะเพิ่มขึ้น 0.4%
แรงหนุนหลักมาจาก รายได้จากการขายน้ำประปาและน้ำอุตสาหกรรม ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี การลดลงของรายได้จากการจำหน่ายน้ำดิบ จะเป็นปัจจัยกดดันต่อการเติบโตของรายได้ในภาพรวม
ผู้จำหน่ายน้ำประปา
การจำหน่ายน้ำประปาโดยบริษัทเอกชนเป็นธุรกิจที่ต้องได้รับ สัมปทานจากภาครัฐ ซึ่งจะมีการกำหนดพื้นที่ ระยะเวลา และเงื่อนไขการให้บริการ ทั้งนี้ อัตรากำไรขั้นต้นของผู้ประกอบการธุรกิจน้ำประปามักอยู่ในระดับสูง (มากกว่า 60% ทำให้ปัจจุบันมีบริษัทเอกชนสนใจเข้ามาลงทุนในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในเขตชุมชนเมืองนอกกรุงเทพฯ
ปริมาณการจำหน่ายน้ำประปาจากบริษัทเอกชนในปี 2569 คาดว่าจะโต 0.6%
จากจำนวนผู้ใช้น้ำประปาที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แม้อุปสงค์จากภาคการท่องเที่ยวจะมีทิศทางลดลง
ปริมาณการจำหน่ายน้ำประปายังคงเติบโตต่อเนื่อง ตามการขยายตัวของเขตพื้นที่ชุมชนเมือง และจำนวนผู้ใช้น้ำประปาที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ในปี 2569 ธุรกิจอาจได้รับแรงกดดันจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่คาดว่าจะลดลงต่อเนื่องจากปี 2568 ซึ่งจะส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำประปาโดยเฉพาะจากภาคบริการในเขตพื้นที่ท่องเที่ยวลดน้อยลง
รายได้จากการจำหน่ายน้ำประปาคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.9% ในปี 2569
จากปริมาณขายที่ยังคงเติบโต และราคาขายที่ปรับขึ้นตามสัญญาสัมปทานของรัฐวิสาหกิจ
สัญญาสัมปทานน้ำประปามักกำหนดให้ผู้ประกอบการสามารถปรับราคาขายขึ้นได้ทุกปีตามอัตราเงินเฟ้อ ส่งผลให้ทิศทางรายได้ของธุรกิจน้ำประปาในปี 2569 มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น
อย่างไรก็ดี ภาพรวมรายได้ธุรกิจน้ำประปาไทยยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่าปี 2566 อยู่ราว 19.2% เนื่องจาก หนึ่งในโครงการของผู้ผลิตน้ำประปาเอกชนรายใหญ่หมดสัญญาสัมปทาน ในช่วงปลายปี 2566และถูกเปลี่ยนเป็นระบบสัญญาจ้างบริหารจัดการผลิตน้ำประปา ซึ่งมีราคารับซื้อที่ต่ำกว่าสัญญาเดิม
ผู้จำหน่ายน้ำอุตสาหกรรม
ปริมาณการจำหน่ายน้ำอุตสาหกรรมคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 6.5% ในปี 2569
จากการขยายธุรกิจของผู้ผลิตรายใหญ่สู่ตลาดน้ำอุตสาหกรรม
การขยายธุรกิจของผู้ผลิตรายใหญ่จากการให้บริการน้ำดิบเพียงอย่างเดียว สู่การให้บริการน้ำอุตสาหกรรม เพิ่มขึ้น ทั้ง น้ำเพื่ออุตสาหกรรมทั่วไปและน้ำมูลค่าเพิ่มส่งผลให้ลูกค้าในภาคอุตสาหกรรมบางราย โดยเฉพาะโรงงานขนาดเล็ก ที่มีความต้องการใช้น้ำเฉพาะทาง หันมาซื้อน้ำอุตสาหกรรมจากผู้ผลิตโดยตรงเพื่อลดต้นทุน แทนที่จะซื้อน้ำดิบไปแปรรูปเอง
รายได้รวมจากตลาดการจำหน่ายน้ำอุตสาหกรรมคาดว่าจะโต 7.0% ในปี 2569
จากปริมาณขายที่เติบโต และสัดส่วนการจำหน่ายน้ำมูลค่าเพิ่มที่มากขึ้น
ราคาขายเฉลี่ยของน้ำอุตสาหกรรมในปี 2569 คาดว่าจะเพิ่มขึ้นราว 0.5% โดยมีปัจจัยหนุนจากการเติบโตของปริมาณจำหน่ายน้ำมูลค่าเพิ่ม ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีราคาขายเฉลี่ยต่อหน่วยสูงกว่าน้ำอุตสาหกรรมทั่วไปไม่น้อยกว่า 25% โดยสัดส่วนการจำหน่ายน้ำมูลค่าเพิ่มของผู้ประกอบการรายใหญ่บางราย เปลี่ยนจากที่อยู่เพียง 5% ของปริมาณขายน้ำอุตสาหกรรมทั้งหมด ในปี 2563 เป็นมากกว่า 15% ในปี 2567
อย่างไรก็ตาม แม้ปริมาณขายและรายได้จะเติบโต แต่การขยายตัวของธุรกิจน้ำอุตสาหกรรมยังคงอยู่ในกรอบจำกัด เนื่องจากกลุ่มลูกค้าหลักยังคงเผชิญแรงกดดันจากทั้งสงครามการค้าและภาวะอุปทานส่วนเกินของสินค้าจากจีน
ผู้จำหน่ายน้ำดิบ
ผู้จำหน่ายน้ำดิบแบ่งลูกค้าออกได้เป็น 2 ตลาดหลัก
1)การขายให้ภาคอุตสาหกรรม (60% – 70% ของปริมาณขาย) มีคู่ค้าหลักได้แก่โรงงานและผู้ให้บริการน้ำในนิคมฯ โดยอัตราค่าน้ำดิบในกลุ่มนี้จะเริ่มต้นที่ประมาณ 11.50 บาท/ลบ.ม.
2)การขายให้ภาคอุปโภคบริโภค (30% – 40% ของปริมาณขาย) มีคู่ค้าหลักได้แก่การประปาฯ ซึ่งนำน้ำดิบไปผลิตเป็นน้ำประปาเพื่อจำหน่ายต่อ โดยอัตราค่าน้ำดิบจะอยู่ที่ราว 9.90 บาท/ลบ.ม.
ปริมาณการจำหน่ายน้ำดิบของบริษัทเอกชนคาดว่าจะลดลง 5.1% ในปี 2569
ปัจจัยกดดันหลักมาจากความต้องการใช้น้ำดิบในภาคอุตสาหกรรมที่ลดลง
ในปี 2569 ความต้องการมีแนวโน้มลดลงตามดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI)ไทย ที่คาดว่าจะยังคงหดตัว เนื่องจากเป็นปีที่จะได้รับผลประทบจากการตั้งภาษีสินค้าของสหรัฐฯ อย่างเต็มรูปแบบ ส่งผลให้การผลิตและส่งออกสินค้าลดลง โดยเฉพาะในกลุ่ม อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ อุปกรณ์ไฟฟ้า และผลิตภัณฑ์อาหาร ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มีปริมาณการใช้น้ำดิบสูง นอกจากนั้น พฤติกรรมของลูกค้าบางรายที่เปลี่ยนไปซื้อน้ำอุตสาหกรรมโดยตรง เพื่อลดต้นทุน แทนที่จะซื้อน้ำดิบมาแปรรูปเอง ก็ส่งผลกดดันปริมาณการขายน้ำดิบอีกเช่นกัน
รายได้รวมจากตลาดการจำหน่ายน้ำดิบคาดว่าจะลดลง 5.3% ในปี 2569
จากอุปสงค์ที่หดตัวของภาคอุตสาหกรรม ซึ่งมีปริมาณและราคาขายที่สูงกว่าภาคอุปโภคบริโภค
ในตลาดการจำหน่ายน้ำดิบ ภาคอุตสาหกรรมเป็นตลาดหลักและสร้างรายได้มากกว่าภาคอุปโภคบริโภค โดยรายได้ต่อหน่วยจากการขายให้ภาคอุตสาหกรรมสูงกว่าภาคอุปโภคบริโภค มากกว่า 16% ดังนั้นความต้องการที่ลดลงจากภาคอุตสาหกรรมจึงส่งผลกดดันรายได้รวมให้มีแนวโน้มลดลง
ความเสี่ยงของอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์น้ำไทยในระยะกลางถึงยาว
กระบวนการบำบัดน้ำเสียแบบ Zero Liquid Discharge (ZLD) ได้รับความนิยมมากขึ้นอย่างต่อเนื่องจากผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมโดยเฉพาะรายใหญ่ เนื่องจากเทคโนโลยี ZLD สามารถบำบัดน้ำและนำกลับมาใช้ใหม่ได้เกือบทั้งหมด ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้ปริมาณการซื้อน้ำจากภาคอุตสาหกรรมการผลิตอาจปรับลดลงในอนาคต ทั้งนี้ มูลค่าตลาด ZLD ทั่วโลกคาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 6.3 พันล้านในปี 2566 ไปสู่ 10.3 พันล้านดอลลาร์ในปี 2575 หรือโตเฉลี่ยที่ 5.5% ต่อปี
ความเสี่ยงด้านสัญญาสัมปทานและการกำกับดูแลจากภาครัฐ โดยแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจน้ำประปาภาคเอกชนขึ้นอยู่กับทิศทางนโยบายภาครัฐในการสนับสนุนบทบาทของเอกชนในระบบสาธารณูปโภคเป็นสำคัญ เนื่องจากการขยายพื้นที่ให้บริการต้องอยู่ภายใต้การอนุมัติหรือประมูลสัมปทานจากภาครัฐเท่านั้น อีกทั้งเมื่อครบกำหนดสัมปทานเดิม บริษัทอาจไม่ได้รับการต่อสัญญาหรืออาจถูกปรับเปลี่ยนเงื่อนไขซึ่งอาจส่งผลให้รายได้และปริมาณจำหน่ายลดลง