นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า จากการวิเคราะห์ข้อมูลธุรกิจประจำเดือนกันยายน 2568 พบว่า ‘ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับผ้าไทย’ มีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดและได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่นำผ้าไทยมาต่อยอดเชิงพาณิชย์และเชิงวัฒนธรรมอย่างสร้างสรรค์ ส่งผลให้ช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 (มกราคม-กันยายน) มีการจดทะเบียนนิติบุคคลตั้งใหม่ 642 ราย เพิ่มขึ้น 515 ราย คิดเป็น 406% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 (127 ราย) และมีมูลค่าทุนจดทะเบียน 684 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 460 ล้านบาท คิดเป็น 205% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 (225 ล้านบาท) ทั้งนี้ การจัดตั้งธุรกิจในรอบ 9 เดือน ของปี 2568 เป็นกิจการขนาดเล็ก (SMEs) ทั้งหมด โดยมีสัดส่วนบริษัทจำกัด 425 ราย มูลค่าทุนจดทะเบียน 574 ล้านบาท และห้างหุ้นส่วนจำกัด/ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล 217 ราย มูลค่าทุน 110 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นถึงพลังของผู้ประกอบการท้องถิ่นที่เข้ามามีบทบาทสำคัญในการสืบสานภูมิปัญญาผ้าไทยและพัฒนาให้ทันสมัยสอดคล้องกับความต้องการของตลาด
ขณะที่ประเทศไทยมีนิติบุคคลธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับผ้าไทย จำนวนทั้งสิ้น 3,416 ราย มูลค่าทุนจดทะเบียนรวม 47,339 ล้านบาท แบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ 1) กลุ่มผลิต 651 ราย ทุนจดทะเบียน 32,939 ล้านบาท และ 2) กลุ่มขายส่ง/ปลีก 2,765 ราย ทุนจดทะเบียน 14,400 ล้านบาท การจัดตั้งนิติบุคคลในธุรกิจนี้ เมื่อมองย้อนหลังไป 5 ปี (2563-2567) พบว่า มีการเติบโตที่ผันผวนและชะลอตัวลงเล็กน้อยในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 แต่สามารถกลับมาเติบโตเมื่อการระบาดสิ้นสุด ทำการจัดตั้งใหม่ในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องฯ เฉลี่ยอยู่ที่ 160 รายต่อปี อย่างไรก็ดี ในปี 2567 มีการจัดตั้งธุรกิจใหม่จำนวน 163 ราย ทุนจดทะเบียน 275 ล้านบาท มีเงินทุนที่เพิ่มขึ้น 38% จากปี 2566 (199 ล้านบาท) โดยส่วนใหญ่เป็นธุรกิจในกลุ่มขายส่ง/ปลีก
โดยธุรกิจผ้าไทยถือเป็นหนึ่งในธุรกิจสร้างมูลค่าสูงของประเทศ โดยมีส่วนเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม ซึ่งในเดือนสิงหาคม 2568 ไทยมีมูลค่าการส่งออกกว่า 494.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อีกทั้ง กระแสแฟชั่นยุคใหม่ที่เน้นความยั่งยืน (Sustainability) การใช้เส้นใยธรรมชาติ และการออกแบบที่สะท้อนอัตลักษณ์เฉพาะถิ่น ล้วนส่งผลให้ผ้าไทยได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นทั้งในและต่างประเทศ ด้านการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติมีมูลค่า 22,093 ล้านบาท โดยมีประเทศที่เข้ามาลงทุนใน 3 ลำดับแรกคือ ออสเตรีย 16,679 ล้านบาท ญี่ปุ่น 2,733 ล้านบาท และสิงคโปร์ 1,021 ล้านบาท”
“โอกาสของธุรกิจผ้าไทยที่ภาครัฐได้เร่งส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมผ้าไทยอย่างต่อเนื่องผ่านโครงการสำคัญ อาทิ การผลักดันให้ผ้าไทยเป็น Soft Power การจัดนิทรรศการและจำหน่ายสินค้าผ้าไทย หรือโครงการผ้าไทยใส่ให้สนุก เพื่อสร้างกระแสการใช้ผ้าไทยในชีวิตประจำวัน ในด้านการส่งเสริมของกรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้ดำเนินการผ่านโครงการSMART Local ME-D ที่มุ่งยกระดับผู้ประกอบการชุมชนให้สามารถเชื่อมโยงตลาดเชิงพาณิชย์และตลาดดิจิทัล พร้อมเสริมองค์ความรู้ด้านการออกแบบ การตลาด และธรรมาภิบาลธุรกิจ เพื่อให้ผ้าไทยกลายเป็น Soft Power ที่สร้างรายได้ เสริมเศรษฐกิจฐานราก และขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของประเทศอย่างยั่งยืน ดังนั้น ผ้าไทยไม่ใช่เพียงมรดกทางวัฒนธรรม แต่คือโอกาสทางเศรษฐกิจที่จับต้องได้ หากได้รับการสนับสนุนและต่อยอดอย่างถูกทิศทาง ผ้าไทยจะสามารถก้าวสู่เวทีแฟชั่นระดับโลกได้อย่างภาคภูมิใจ” อธิบดีพูนพงษ์ฯ กล่าว