นายอนันต์กร อมรวาที นายกสมาคม ธุรกิจรับสร้างบ้าน เปิดเผยว่าภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านในปีนี้ คาดมีมูลค่ารวม 10,000 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปีก่อน เพราะยังได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ โดยเฉพาะกลุ่มราคาต่ำ 5 ล้านบาท ส่งผลต่อกำลังซื้อลดลง 10-15% ส่วนบ้านราคา 20 ล้านบาทขึ้นไปถึง 100 ล้านบาท กระทบไม่มาก ส่วนใหญ่ลูกค้าเป็นผู้มีเงินออม ซื้อเงินสด กู้แบงก์น้อย และเป็นเจ้าของกิจการ เช่น โรงน้ำแข็ง โรงสี สวนเกษตร รวมถึงเป็นเจ้าของธุรกิจใหม่ เช่น ออนไลน์ เป็นต้น โดยตลาดต่างจังหวัดเติบโตดีกว่ากรุงเทพฯ เช่น ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ ภาคตะวันออก เป็นต้น ดูจากฐานข้อมูลของบริษัทรับสร้างบ้านที่เป็นสมาชิก
โดยจากสถานการณ์เศรษฐกิจไทยในปี 2568 คงเป็นการยากจะขยายตัวได้ถึง 3% เนื่องจากยังมีปัจจัยน่ากังวลอย่างต่อเนื่อง ทั้งปัจจัยภายในประเทศ ปัญหาหนี้ครัวเรือนยังคงอยู่ระดับสูง ทำให้กำลังซื้อภาคธุรกิจยังไม่ฟื้นตัว สถานการณ์การเมืองที่ยังไม่นิ่ง ขณะที่นโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐยังไม่มีอะไรเป็นรูปธรรม อีกทั้งยังมีปัจจัยภายนอกประเทศที่ยังมีความไม่แน่ไม่นอน โดยเฉพาะนโยบายทรัมป์ 2.0 ที่อาจกระทบต่อเศรษฐกิจโลก จึงทำให้ยังไม่เห็นปัจจัยบวกที่จะมาสนับสนุน
โดยสะท้อนจากตลาดรับสร้างบ้านกลุ่มราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาท ที่กำลังซื้อชะลอตัวและหดตัวลงจากปัจจัยหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้น ที่เป็นผลมาจากค่าครองชีพปรับตัวสูงขึ้น รายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย รองลงมากลุ่มราคา 5-10 ล้านบาท ที่ยื่นขอสินเชื่อลำบาก ถูกปฏิเสธจากสถาบันการเงินหรืออนุมัติแต่ไม่เต็มวงเงินที่ต้องการ ขณะที่กลุ่มราคา 10-20 ล้านบาท ได้รับผลกระทบปานกลาง จากความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบทางอ้อม ทำให้ชะลอตัดสินใจปลูกสร้างบ้านออกไป ส่วนกลุ่มราคา 20 ล้านบาทขึ้นไป ได้รับผลกระทบน้อย เพราะเป็นกลุ่มผู้มีเงินออม แต่ยังมีความไม่มั่นใจสถานการณ์การเมืองและเศรษฐกิจ ทำให้บางส่วนชะลอการตัดสินใจออกไป
ส่วนโครงการเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ว่าในแง่ของเศรษฐกิจ ถือว่าเป็นโครงการที่ดี เนื่องจากช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้เกิดการจ้างงาน และดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามายังประเทศไทยได้มากขึ้น และสร้างรายได้ให้กับประเทศได้เพิ่มขึ้น และมองว่าการที่รัฐบาลมีเป้าหมายจะพัฒนาใน 5 พื้นที่ ได้แก่ กรุงเทพ 2 แห่ง เชียงใหม่ 1 แห่ง ภูเก็ต 1 แห่ง และพัทยา 1 แห่งนั้น ถือว่าเป็นพื้นที่ที่มีความเหมาะสม