ธุรกิจร้านอาหารปี 2567 ยังเติบโต CRG เดินหน้าลงทุนต่อเล็งเปิดสาขาใหม่ 80-95 สาขา

ธุรกิจร้านอาหารปี 2567 ยังเติบโต CRG เดินหน้าลงทุนต่อเล็งเปิดสาขาใหม่ 80-95 สาขา

บริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด หรือ ซีอาร์จี (CRG) เป็นหนึ่งในธุรกิจหลักที่ทำเงินให้กับบริษัท จากแบรนด์ที่แข็งแกร่งและมีพอร์ตโฟลิโอหลากหลาย ครอบคลุมธุรกิจอาหารบริการด่วน (QSR) อย่างไก่ทอดเบอร์ 1 เคเอฟซี ร้านอาหารญี่ปุ่น โอโตยะ ร้านขนมมิสเตอร์โนัท อานตี้ แอนส์ และโอโตยะ และยังมีแบรนด์ร่วมทุนโดดเด่น เช่น ชินคันเซ็น ซูชิ สลัดแฟคทอรี เป็นต้น โดยผลการดำเนินงานในปี 2566 บริษัทสร้างรายได้จากการขาย 12,465 ล้านบาท เติบโต 8% จากปีก่อน หรือคิดเป็นมูลค่า 940 ล้านบาท และสร้าง “กำไรสุทธิ” 479 ล้านบาท ลดลง 1% จากปีก่อน หรือคิดเป็น 80 ล้านบาท เนื่องจากเผชิญต้นทุนของวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้นและมีความผันผวน ตลอดจนค่าไฟฟ้า ค่าเช่า และการตั้งสำรองการ ปิดสาขา โดยเฉพาะส่วนที่ Cloud Kitchen เป็นหลัก

สำหรับการสร้างผลงานยอดขายจากร้านอาหารสาขาเดิมหรือ same stroe เติบโต 4% จาก 4 แบรนด์หลัก มีอัตราการเติบโตรายได้รวม (TSS) เฉลี่ย 8% โดยเป็นการเติบโตของแบรนด์หลัก 8% และแบรนด์อื่นๆเติบโตเพียง 1% เท่านั้นหากรวมผลงานของแบรนด์ร่วมทุนจะพบว่ามียอดขายของร้านสาขาเดิมเติบโต 3% จากปีก่อน และภาพรวมการเติบโตของยอดขายรวมอยู่ที่ 13% จากปีก่อน โดยแบรนด์ชินคันเซ็น ซูชิ และสลัดแฟคทอรี เป็นพระเอก สำหรับสิ้นปี 2566 ซีอาร์จี มีร้านอาหารให้บริการทั้งสิ้น 1,621 สาขา เฉพาะไตรมาส 4 มีการเปิดร้านเพิ่มขึ้น 41 สาขา

ทั้งนี้ ธุรกิจร้านอาหารโดย “ซีอาร์จี” ยังทำเงินให้กับบริษัท โรงแรมเซ็นทารา จำกัด (มหาชน) ในปี 2566 สัดส่วนถึง 56%

ในปี 2567 ซีอาร์จี มองแนวโน้มและคาดการณ์ธุรกิจร้านอาหารจะมีอัตราการเติบโตของร้านเดิม (ไม่รวมแบรนด์ร่วมทุน) ประมาณ 3-5% จากปีก่อน และอัตราการเติบโตของยอดขายรวมทุกสาขา (Total-System-Sales: TSS) จะอยู่ที่ 8-11% จากปี 2566 โดย 4 แบรนด์หลักยังเป็นเรือธง ไม่ว่าจะเป็นเคเอฟซี มิสเตอร์โดนัท อานตี้ แอนส์ เป็นต้น

ส่วนการเติบโตของสาขาในปี 2567 บริษัทคาดการณ์จะเพิ่มขึ้น 80-95 สาขา (รวมแบรนด์ร่วมทุน และรวมร้านรูปแบบ Shop-in-shop อย่างอาริกาโตะในมิสเตอร์โดนัท) หรือเติบโต 5-6% จากปีก่อน โดยให้ความสำคัญกับการ “ทำกำไร” ดังนั้นได้วางแผนดำเนินการหลายมิติ ได้แก่ การตระหนักถึงสถานการณ์ “ต้นทุนวัตถุดิบ” และค่าใช้จ่ายในการบริหารที่ปรับตัวสูงขึ้น และมีความผันผวน จึงวางแผนเจรจาต่อรองกับผู้ขายวัตถุดิบอย่างต่อเนื่อง มีการทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้าสำหรับวัตถุดิบบางส่วนเพื่อลดความเสี่ยงการผันผวนของราคา เป็นต้น

นอกจากนี้ บริษัทยังมีการ “ปิดสาขาที่ไม่สามารถทำกำไรได้ตามเป้าหมาย” เพื่อรักษาอัตราการไรของบริษัท และพิจารณาการเปิดสาขาใหม่อย่างระมัดระวังมากขึ้น โดยเฉพาะมุ่งเน้นการขยายสาขาในแบรนด์หลักที่มีอัตรา “การทำกำไรสูง” รวมถึงปรับลดขนาดหรือปรับรูปแบบการดำเนินธุรกิจให้สะท้อนกับยอดขาย หรือกลุ่มลูกค้าที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงไปเพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์ปัจจุบัน

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles