นายณัฐ วงศ์พานิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด (CRG) เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจร้านอาหารปี 2567 คาดการณ์เติบโต 5-7% มีมูลค่า 4.8 แสนล้านบาท สูงกว่าปีก่อนที่ตลาดรวมอยู่ที่ 4.3 แสนล้านบาท โดยหมวดหมู่ร้านอาหารที่ยังเติบโต ได้แก่ ร้านอาหารบริการด่วนหรือคิวเอสอาร์ เช่น ไก่ทอดเคเอฟซี ส่วนที่ร้อนแรงจะเป็นประเภทร้านชาบู ปิ้งย่าง ที่มีผู้เล่นเข้ามาทำตลาดกันอย่างคึกคัก
นอกจากนี้ พฤติกรรมผู้บริโภคที่หนุนให้ธุรกิจร้านอาหารยังขยายตัว คือการกลับมารับประทานอาหารนอกบ้านมากขึ้น หากเทียบกับตอนเกิดโรคโควิด-19 ระบาด บริการส่งอาหารหรือดิลิเวอรี ครองสัดส่วนได้ 80% เพราะร้านอาหารปิดให้บริการ และบางรายมองโอกาสทำรายได้โดยไม่ต้องมีหน้าร้าน จึงปิดสาขาไปด้วย
ปัจจุบันการนั่งทานที่ร้านหรือได-อิน และการซื้อกลับบ้านมีสัดส่วนกลับมา 80% และดิลิเวอรี 20% ถือเป็นจุดสมดุลของตลาดแล้ว อีกเทรนด์สำคัญคือ พฤติกรรมคนไทยมีการรับประทานอาหาร 5 มื้อต่อวัน จากเดิม 3 มื้อต่อวัน ได้เพิ่มมื้อบ่าย และมื้อดึก กลายเป็นโอกาสหรือ Occasion การทานอาหารหลากหลายมากขึ้น
“ตลาดสุกี้กำลังถูกท้าทายอย่างมาก เพราะมีแบรนด์ผู้เล่นน้องใหม่เข้ามาและสร้างการเติบโตร้อนแรงมาก ใครจะคิดว่าผู้บริโภคจะไปทานสุกี้ตอนตี 1 ตี 2 ตอนนี้อ็อคเคชันการทานอาหารเปลี่ยนไป จากกิน 3 มื้อ ขยับเป็น 4 มื้อ และ 5 มื้อ ไปกินมื้อดึกที่ร้าน ทำให้ร้านอาหารที่เปิดตั้งแต่ 3 ทุ่มถึงตี 3 เติบโต รวมถึงแบรนด์นักล่าหมูกระทะของเราด้วย จากเดิมมื้อดึกจะเป็นการสั่งดิลิเวอรี และใช้บริการไดรฟ์ทรู”
“ซีอาร์จี” เป็นบิ๊กโฟร์ธุรกิจร้านอาหาร การขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อสร้างการเติบโต ได้วางแผน 5 ปี เตรียมงบลงทุน 6,000 ล้านบาท เพื่อขยายร้านอาหาร โดยผลักดันแบรนด์และร้านเดิม (Same Store)ให้เติบโตขึ้น อีกต่างยังมองการเติบโตแบบก้าวกระโดดหรือ Inorganic ด้วยการหาแบรนด์ใหม่ๆมาเสริมพอร์ต ผ่านการซื้อและควบรวมกิจการ(M&A) การร่วมทุน
นอกจากนี้ จะเห็นการลุยตลาดต่างประเทศ โดยผสานจุดแข็งของกลุ่มธุรกิจโรงแรมเซ็นทารา เป็นต้น จากที่ผ่านมา มีการผนึกพันธมิตรบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ ลุยธุรกิจร้านกาแฟในประเทศเวียดนาม
ทั้งนี้ ตามแผน 5 ปี บริษัทยังวางเป้าหมายรายได้ทะยานสู่ 3 หมื่นล้านบาท เติบโตเกือบเท่าตัว จากปี 2567 ที่บริษัทตั้งเป้ารายได้รวมอยู่ที่ 1.66 หมื่นล้านบาท เติบโต 14% จากปี 2566 ปิดรายได้ 1.45 หมื่นล้านบาท เติบโต 13% และมีกำไรสุทธิ 479 ล้านบาท