ธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ไทยยังติดหล่มชะลอต่อไป คาดปี 2568 หงอยเหงาทั้งส่งออกและในประเทศ

ธุรกิจเครื่องดื่ม ไม่มีแอลกอฮอล์ไทยยังติดหล่มชะลอต่อไป คาดปี 2568 หงอยเหงาทั้งส่งออกและในประเทศ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า ยอดขายของธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ปี 2568 คาดว่าจะอยู่ที่ 2.26 แสนล้านบาท โต 2.0% ชะลอจากปีก่อนที่ 4.5% โดยมีปัจจัยกดดันทั้งด้านกำลังซื้อของคนในประเทศที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่รวมถึงจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีแนวโน้มหดตัวลง ในด้านมูลค่าการส่งออกเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ของไทยปี 2568 คาดว่าจะอยู่ที่ 1,744 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โตราว 1.0% โดยตลาดส่งออกหลักยังเป็นกลุ่มประเทศ CLMV ซึ่งมีสัดส่วนกว่า 67% ขณะที่การส่งออกไปยังตลาดใหม่ อาทิ มาเลเซีย ยังคงเพิ่มขึ้น

แนวโน้มตลาดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ในประเทศนั้น ในปี 2568 คาดว่า ยอดขายของธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์อยู่ที่ 2.26 แสนล้านบาท ขยายตัว 2.0% (รูปที่ 2) แต่เป็นอัตราที่ชะลอลงเมื่อเทียบกับช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (CAGR ปี 2565-2567) ที่โตเฉลี่ย 4.7% ต่อปี จากการบริโภคที่ยังได้รับแรงกดดันด้านกำลังซื้อของคนในประเทศที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ รวมถึงจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่น่าจะน้อยกว่าที่คาด โดยแนวโน้มของตลาดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ที่สำคัญ มีรายละเอียดดังนี้

ยอดขายน้ำอัดลมและน้ำดื่มบรรจุขวด คาดว่าจะขยายตัว 2.0% และ 2.6% ในปี 2568 ชะลอตัวลงจากปี 2567 ตลาดน้ำอัดลมและน้ำดื่มบรรจุขวด มีส่วนแบ่งตลาดรวมกันกว่า 55% ของยอดขายธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ทั้งหมด (รูปที่ 3) โดยปัจจัยที่หนุนให้ตลาดโต ส่วนหนึ่งมาจากสภาพอากาศที่ร้อนขึ้น และกรมอุตุนิยมวิทยาคาดว่า ปี 2568 อุณหภูมิสูงสุดจะอยู่ที่ราว 43 องศาเซลเซียส สอดคล้องกับผู้ประกอบการในธุรกิจที่ระบุว่า สภาพอากาศร้อนเป็นปัจจัยบวกต่อยอดขายเครื่องดื่มฟังก์ชันนัล คาดว่าในปี 2568 ยังโต 5.5% สูงกว่าภาพรวมของตลาดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ จากหลายปัจจัยหนุน


แม้ส่วนแบ่งตลาดของเครื่องดื่มฟังก์ชันนัลจะยังเล็กมาก แต่คาดว่าส่วนแบ่งจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจาก 5% ในปี 2563 เป็น 7% ในปี 2568 โดยมีปัจจัยหนุนจากการใส่ใจสุขภาพของผู้บริโภคและความต้องการเครื่องดื่มที่มีคุณค่าทางโภชนาการที่เจาะจงขึ้น เช่น ลดปัญหาการนอนไม่หลับ เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ดังนั้น จะเห็นว่าผู้ประกอบการหลายราย ทั้งที่อยู่ในธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์และนอกธุรกิจ เช่น โรงพยาบาล อาหาร เคมีภัณฑ์ หันมาทำตลาดหรือแตกไลน์สินค้าใหม่ในเครื่องดื่มประเภทนี้เพิ่มขึ้น 

การแข่งขันของธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ในประเทศ ปรากฏว่า ธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์เผชิญการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น ทั้งผู้เล่น ในประเทศที่มีมากราย รวมถึงสินค้านำเข้าที่มาตีตลาดเพิ่ม ปัจจุบันมีผู้เล่นเข้ามา ในตลาดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์เป็นจำนวนมากหรือกว่า 2,794 ราย (เฉพาะนิติบุคคล) ส่งผล ให้ตลาดมีการแข่งขันรุนแรง ด้วยสินค้าที่มีหลากหลาย Segment ขณะที่สินค้านำเข้ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 8.2% ต่อปี (CAGR ปี 2564-2567 ในรูปดอลลาร์สหรัฐฯ)

การแข่งขันที่รุนแรงขึ้น ท่ามกลางสินค้า ใหม่ออกสู่ตลาดต่อเนื่อง และมี Life-cycle ที่สั้นลง จำเป็นต้องอาศัยการทำการตลาดเพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์และจูงใจ ให้เกิดการบริโภค สอดรับ ข้อมูลที่คาดว่า ในปี 2568 เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์จะยังคงติด อันดับ TOP 3 สินค้าที่ลงทุน ในสื่อโฆษณาดิจิทัลสูงสุดเมื่อเทียบกับ ธุรกิจอื่นๆ นอกจากนี้ ผู้ประกอบการมีแผนมุ่งกระจายสินค้าสู่ตลาด B2B ทั้งร้านอาหารและเครื่องดื่ม โรงพยาบาล โรงแรม อีกด้วย

แนวโน้มการส่งออกเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ของไทยนั้น ในปี 2568 คาดว่า ไทยส่งออกเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ 1,744 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัว 1.0% โดยตลาดส่งออกหลักยังคงเป็นกลุ่มประเทศ CLMV (รูปที่ 4) ชะลอลงอย่างมากเมื่อเทียบกับ 10 ปีก่อน ทีเติบโต 6.1% ต่อปี (CAGR ปี 2558-2567) โดยเฉพาะกลุ่มประเทศคู่ค้าหลักอย่าง CLMV ที่เผชิญปัจจัยกดดันทาง ด้านสงครามทางการค้า และปัญหาเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ ส่งผลให้ยังคงระมัดระวังการใช้จ่าย เช่น ปัญหาอสังหาริมทรัพย์ใน กัมพูชาและเวียดนาม ราคาสินค้าที่สูงขึ้นจากการปรับขึ้นภาษี VAT ในสปป.ลาว รวมถึงสถานการณ์เศรษฐกิจและการเมือง ในเมียนมาเป็นต้นกลุ่มประเทศ CLMV ยังเป็น

กลุ่มประเทศ CLMV ยังเป็นตลาดหลักในการส่งออกเครื่องดื่ม ไม่มีแอลกอฮอล์ของไทย คิดเป็นสัดส่วนรวมกันกว่า 67% นั้น การส่งออกเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ของไทยที่เพิ่มขึ้น ในปี 2568 ส่วนใหญ่มาจากกลุ่มประเทศ CLMV ซึ่งเป็นตลาดส่งออกหลัก ขณะที่การส่งออกไปยังตลาดศักยภาพใหม่ เช่น มาเลเซียคาดว่าจะโตต่อเนื่อง จากการเข้าไปลงทุนหรือทำการตลาดเพิ่มเพื่อขยายฐานลูกค้า มีการร่วมทุนกับพาร์ทเนอร์ขยายช่องทางจัดจำหน่ายและมีโอกาสส่งออกได้เพิ่ม โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่ไทยมีความได้เปรียบด้านวัตถุดิบ เช่น เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมจากผลไม้อย่างไรก็ดี ผู้ประกอบการไทยบางส่วนได้ขยายฐานการผลิตไปยังกลุ่มประเทศ CLMV มากขึ้น ทำ ให้คาดว่า ระยะต่อไปมูลค่าการส่งออกเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์จากฐานการผลิตไทยอาจทยอยลดลง แต่ไปเพิ่มยอดขายจากฐานการผลิตในต่างประเทศสะท้อนจาก สัดส่วนการส่งออกเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ของไทยไปกลุ่มประเทศ CLMV ที่ทยอยลดลงจาก 76% ในปี 2561 ปรับลงมาอยู่ที่ 67% ในปี 2567

น้ำดื่มบรรจุขวด และเครื่องดื่มชูกำลัง สินค้าส่งออกหลักของไทยที่ยังมีแนวโน้มเติบโตดีในตลาดหลัก CLMV พบว่าการส่งออกน้ำดื่มบรรจุขวดปี 2568 คาดว่า จะยังขยายตัวจากความต้องการผลิตภัณฑ์น้ำดื่มสะอาดและได้มาตรฐานในกลุ่มประเทศ CLMV ที่เพิ่มขึ้น ขณะที่การส่งออกเครื่องดื่มชูกำลัง น่าจะได้รับแรงหนุนจากประชากรแรงงานที่มีราว 113 ล้านคน หรือคิดเป็น 63% ของประชากรทั้งหมด ในกลุ่มประเทศ CLMV ซึ่งไม่เพียงเจาะตลาดกลุ่มผู้ใช้แรงงาน แต่มีการปรับภาพลักษณ์สินค้าไปสู่กลุ่มคนรุ่นใหม เช่น พนักงานออฟฟิศ ลูกค้า ในตลาดอีสปอร์ตเป็นต้น

เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ การแข่งขันของธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ในตลาดส่งออกเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ของไทยเสี่ยงแข่งขันรุนแรงขึ้น ทั้ง กับสินค้าท้องถิ่นและสินค้านำเข้าจากคู่แข่งโดยเฉพาะจีน ที่มีราคา ถูกกว่าการส่งออกเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ของไทย นอกจากผู้ประกอบการไทยจะมีการกระจายฐานการผลิตไปยังตลาดคู่ค้าหลักอย่างกลุ่มประเทศ CLMV แล้ว ยังต้องเสี่ยงแข่งกับสินค้าท้องถิ่นหรือ สินค้าที่ผลิตได้ ในประเทศที่มีราคาต่ำกว่า เช่น เครื่องดื่มชูกำลัง น้ำผลไม้ ชาพร้อมดื่ม

นอกจากนี้ ผู้ประกอบการไทยยังเผชิญกับคู่แข่งที่มีความได้เปรียบด้านราคาโดยเฉพาะจีน แม้ว่ากลุ่มประเทศ CLMV จะยังนำเข้าเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์จากไทยมากที่สุดหรือคิดเป็นสัดส่วนกว่า 73% แต่การนำเข้าจากจีนถึงจะมีสัดส่วนเพียง 2% แต่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเวียดนามและกัมพูชา สะท้อนจาก ปี 2567 เวียดนามมีมูลค่านำเข้าเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์จากจีนเพิ่มขึ้น 4เท่า และกัมพูชามีมูลค่านำเข้าจากจีนเพิ่มขึ้น 3 เท่า เมื่อเทียบกับปี 2564

ความเสี่ยงของอุตสาหกรรมเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ไทย ได้แก่ ต้นทุนการผลิตปี 2568 ยังมีความไม่แน่นอน ไม่ว่าจะเป็น วัตถุดิบหลักอย่างน้ำตาลทราย ที่ราคายังคงผันผวนจากสภาพอากาศที่แปรปรวน (รูปที่ 6) รวมถึงบรรจุภัณฑ์ ทั้งกระดาษกระป๋องและพลาสติกที่อาจได้รับผลกระทบจากสงครามทางการ ค้า ทั้งนี้ อัตราการเติบโตของกำไรจากการดำเนินงาน (Operating Profit) ของธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ในจี 2566-2567 จะอยู่ที่ 20-30%

ถัดมาเป็นอัตราภาษีความหวานที่ปรับขึ้นเดือนเมษายน ปี 2568 ซึ่งเป็นระยะที่ 4 ที่จัดเก็บภาษีเต็มขั้น (รูปที่ 7) จะกระทบต้นทุนการผลิต ที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเครื่องดื่มชูกำลัง เนื่องจากมีปริมาณน้ำตาล สูงเฉลี่ยอยู่ที่ 7.74-14.04 กรัมต่อ 100 มิลลิลิตร ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้นราว 1-5 บาท แตกต่างตามปริมาณน้ำตาล ขณะที่การปรับขึ้นราคาทำได้จำกัด เนื่องจากการแข่งขันที่รุนแรง

สุดท้าย คือ ยอดขายของแต่ละผลิตภัณฑ์เปลี่ยนแปลงไปตามเทรนด์ผู้บริโภค ในขณะที่จำนวนประชากรไทยที่มีแนวโน้มลดลง อีกทั้ง Life-cycle ของสินค้าก็สั้นลงและความภักดีต่อแบรนด์ลดลง ดัง
นั้น การเพิ่มความถี่ ในการบริโภคเพื่อที่จะรักษายอดขาย จึงเป็นความท้าทายของธุรกิจ

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles