นางสาวณิชชาภัทร กาญจนอุดมการ ผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์การพัฒนา ความสามารถทางการแข่งขัน เปิดเผยว่าจีนเป็นประเทศที่มีความเสี่ยงสูงสุด ที่จะเบี่ยงเบนเส้นทางการค้าและส่งออกสินค้าทะลักเข้ามายังประเทศไทย หลังจากเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 โดยกำหนดอัตราภาษีสำหรับไทยที่ 19% แต่กำหนดอัตราที่สูงกว่ากับประเทศคู่ค้าสำคัญของไทยหลายประเทศ เช่น จีน (34%) ไต้หวัน (20%) เวียดนาม (20%) และอินเดีย (25%) ได้สร้างความเสี่ยงที่จะเกิดการเบี่ยงเบนทางการค้า (Trade Diversion) ซึ่งสินค้าจากประเทศที่ถูกเก็บภาษีในอัตราสูงอาจทะลักเข้ามาในตลาดไทยแน่ นอกจากนี้ ความเชื่อมโยงในห่วงโซ่อุปทานที่มีอยู่เดิมและความสะดวกทางการค้าภายใต้ข้อตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน (ACFTA) ยิ่งเอื้อให้สินค้าจีนเข้าสู่ตลาดไทยได้ง่ายขึ้น
ขณะเดียวกัน สถานการณ์ดังกล่าวแม้จะมีข้อดีในการเพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภคและกระตุ้นการแข่งขัน แต่หากการไหลทะลักดังกล่าวรุนแรงเกินไปจะส่งผลเสียต่อภาคการผลิตภายในประเทศ โดยเฉพาะ SMEs ที่ไม่สามารถแข่งขันได้ จนนำมาสู่การลดกำลังการผลิต การจ้างงาน อีกทั้งยังส่งผลให้ขาดดุลการค้า ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง
ดัชนีการไหลทะลักของสินค้า (Spill-over Index) เพื่อยืนยันสถานการณ์การไหลทะลักของสินค้าจากจีน พบว่าค่าดัชนีพุ่งขึ้นจากระดับ 100 ในปี 2561 (ก่อนสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน) มาอยู่ที่ระดับสูงสุด 130 ในปี 2567 ภายในช่วง 7 ปี นั่นหมายถึงการไหลเข้าของสินค้าจีนมาไทยเร่งตัวขึ้นอย่างชัดเจน
กลุ่มสินค้าที่น่าจับตามองเป็นพิเศษ ได้แก่ กลุ่มยานพาหนะและส่วนประกอบ กลุ่มสินค้าภาคอุตสาหกรรม และกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค นอกจากนี้ยังมีกาาจัดกลุ่มจำแนกตามความเสี่ยงการไหลทะลักของสินค้าจีนออกเป็น 5 ระดับได้แก่ สูง ค่อนข้างสูง เฝ้าระวัง ค่อนข้างเฝ้าระวัง และต่ำ ซึ่งผลการประเมินสินค้าที่ไทยนำเข้าจากจีนจำนวน 1,149 รายการ พบว่าส่วนใหญ่จำนวน 904 รายการ (78.7%) ยังอยู่ในกลุ่มความเสี่ยงต่ำกลุ่มค่อนข้างเฝ้าระวัง 38 รายการ
อย่างไรก็ตาม มีสินค้า 24 รายการที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มความเสี่ยงสูง มี 17 รายการอยู่ในกลุ่มค่อนข้างสูง และอีก 166 รายการอยู่ในกลุ่มเฝ้าระวัง ซึ่งสินค้ากลุ่มเสี่ยงไหลทะลักในระดับเฝ้าระวังและระดับสูง เหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นสินค้าทุนและสินค้าอุตสาหกรรม ซึ่งแม้จะเป็นประโยชน์ต่อภาคการผลิตในเชิงต้นทุนและการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต แต่การพึ่งพิงการนำเข้าสินค้ากลุ่มนี้จากจีนในสัดส่วนที่สูงเกินไป ก่อให้เกิดความเสี่ยงและความเปราะบางต่อความผันผวนของราคา นโยบาย และข้อจำกัดด้านห่วงโซ่อุปทานที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
ขณะเดียวกันสินค้าอุปโภคบริโภคที่แข่งขันโดยตรงกับผู้ผลิตในประเทศหลายรายการ เช่น สุรา กะหล่ำปลี เสื้อผ้า และเครื่องเรือนพลาสติก ก็ถูกจัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs