ธ.ก.ส. ชงครม. เคาะเกณฑ์แฮร์คัตแก้หนี้กลุ่มผู้สูงอายุ และมีสถานะเป็นหนี้เรื้อรัง รวมประมาณ  5 พันล้านบาท 

นายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กล่าวถึงความคืบหน้าของการปรับโครงสร้างหนี้ว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างประสานข้อมูลกับกระทรวงการคลัง โดยเบื้องต้นน่าจะดำเนินการกับกลุ่มผู้สูงอายุตั้งแต่ 70 ปีขึ้นไป และมีสถานะเป็นหนี้เรื้อรังก่อน อย่างไรก็ดี ในการดำเนินการทั้งหมด จะต้องเป็นไปตามกฎกระทรวง ดังนั้น จะต้องมีการกำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับขั้นตอน กระบวนการ วิธีการอย่างชัดเจนออกมาก่อน

โดยปัจจุบัน ธ.ก.ส. มีลูกค้าที่อายุ 70 ปีขึ้นไป และทุกบัญชีของผู้กู้แต่ละรายเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ประมาณหลักหมื่นบัญชี คิดเป็นมูลหนี้ราว 4,000-5,000 ล้านบาท ซึ่งรายละเอียดทั้งหมดจะต้องรอให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กำหนดให้ชัดเจน โดยเฉพาะนิยามของคำว่า “หนี้เรื้อรัง” ว่าผู้ที่เข้าข่ายแฮร์คัตตามแนวทางนี้จะมีเกณฑ์เป็นอย่างไร เช่น ลูกหนี้อายุ 80 ปี แต่ยังปิดหนี้ไม่ได้ ยังมีภาระหนี้อยู่ ลักษณะนี้ถือว่าเข้าข่ายนิยามของคำว่าหนี้เรื้อรังชัดเจน แต่ท้ายที่สุดคงต้องรอความชัดเจนจากสศค. ก่อนจะสรุป และเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณา

ซึ่งเรื่องนี้ค่อนข้างซับซ้อน เพราะลูกหนี้ของธ.ก.ส. บางรายมีหลายบัญชี บางบัญชีมีหลักประกัน บางบัญชีเป็นการค้ำประกันแบบกลุ่ม บางบัญชีค้ำประกันแบบบุคคล บางรายมี 10 บัญชี ก็ต้องไปดูอีกว่ามีบัญชีหนี้ดีกี่บัญชี และหนี้เสียกี่บัญชี ตอนนี้นโยบายยังไม่ได้สรุปออกมาชัดเจนว่าจะแฮร์คัตให้ลูกหนี้กลุ่มอายุเท่าไร แต่ธ.ก.ส. ได้เตรียมข้อมูลลูกหนี้กลุ่มอายุ 70 ปี ที่มีสถานะเป็นหนี้เรื้อรังเอาไว้ แต่การแฮร์คัต หรือการตัดหนี้สูญนี้ หลักการของมูลค่าหลักประกัน คือรัฐจะต้องเสียหายน้อยที่สุด ส่วนรายละเอียดอื่น ๆ ก็ต้องมาดูว่าหากเป็นหนี้ที่มีหลักประกันธนาคารจะดำเนินการอย่างไร หากเกิดความเสียหายต่อธนาคาร คลังในฐานะเจ้าสังกัดจะพิจารณาอย่างไร

ส่วนภาพรวมการดำเนินงานของธ.ก.ส. ปัจจุบัน มียอดสินเชื่อคงค้าง 1.67 ล้านล้านบาท โดยในปีบัญชี 2568 (เม.ย. 68-มี.ค. 69) ธนาคารมีเป้าหมายปล่อยสินเชื่อใหม่ 30,000-50,000 ล้านบาท ขณะที่ NPL ปัจจุบันอยู่ที่ 5.31% โดยแนวโน้มในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา หนี้เสียปรับตัวเพิ่มขึ้นต่ำกว่าแผน ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากมาตรการปรับโครงสร้างหนี้ที่ยังดำเนินการอยู่ และการพัฒนาระบบติดตามหนี้ รวมถึงลูกค้าเริ่มมีการปรับพฤติกรรมการชำระหนี้ เมื่อมีกระแสรายได้เข้ามาก็จ่ายหนี้ทันทีโดยไม่รอจนกระทั่งครบกำหนดชำระ ในส่วนของบัญชีทั้งปี 68 ประเมินว่า NPL ของธนาคารจะอยู่ที่ราว 5.5% บวกลบ ซึ่งยืนยันว่า งบดุลของธนาคารสามารถรองรับได้ 

ในส่วนของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนั้น ที่ผ่านมาธ.ก.ส. ได้มีการปรับลดไปค่อนข้างมากแล้วในช่วงก่อนหน้านี้ ซึ่งเมื่อมาพิจารณาในรายละเอียดภายใต้สัญญากู้เงินของเกษตรกรแต่ละสัญญา ซึ่งมีวงเงินกู้ต่ำกว่า 300,000 บาท เมื่อคำนวณดอกเบี้ยที่ลดลงออกมาก็แทบจะมีผลในหลักบาทเท่านั้น และลูกค้าส่วนใหญ่ในกลุ่มนี้ก็ได้เข้าสู่มาตรการพักหนี้ไปเกือบทั้งหมดด้วย ดังนั้น มองว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่จะมีผลต่อลูกค้าอย่างแท้จริง ก็ต่อเมื่อกรณีที่มีการปรับลดลงมากจริง ๆ

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles