รองศาสตราจารย์ ดร.ภัทรกิตติ์ เนตินิยม หัวหน้าภาควิชาการเงิน คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวถึงกรณีที่กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการหารือเรื่องนโยบายการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตยาสูบ โดยล่าสุดอธิบดีกรมสรรพสามิตเปิดเผยว่ากำลังพิจารณาข้อเสนอหลายแนวทาง ทั้งแนวทางสากลที่เก็บ ภาษี แบบอัตราเดียว และแนวทาง 3 อัตรานั้นว่า ภาษียาสูบสร้างรายได้ให้กับกรมสรรพสามิตเป็นอันดับที่ 5 แต่นับตั้งแต่เปลี่ยนจากโครงสร้างภาษีอัตราเดียว มาเป็นโครงสร้าง 2 อัตราในระบบภาษีแบบผสมในปี 2560 ปัจจุบันกรมสรรพสามิตใช้โครงสร้างการเก็บภาษียาสูบแบบผสม ได้แก่ (1) เก็บภาษีตามปริมาณอัตรา 1.25 บาท ต่อมวน หรือ 25 บาทต่อซอง และ (2) เก็บภาษีตามมูลค่า 2 อัตรา สำหรับบุหรี่ราคาถูกและราคาแพง โดยบุหรี่ที่มีราคาขายปลีกแนะนำเท่ากับหรือน้อยกว่า 72 บาท คิดภาษีตามมูลค่าในอัตราร้อยละ 25 ของราคาขายปลีกแนะนำ แต่หากราคาขายปลีกแนะนำเกินกว่า 72 บาท จะคิดภาษีที่อัตราร้อยละ 42 ของราคาขายปลีกแนะนำ
ซึ่งมองว่านโยบายภาษียาสูบถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการควบคุมการสูบบุหรี่ ช่วยลดค่าใช้จ่ายทางด้านสาธารณสุข รวมทั้งสร้างรายได้ให้ภาครัฐปีละหลายหมื่นล้านบาท รัฐบาลโดยเฉพาะกระทรวงการคลังจึงควรให้ความสำคัญกับการกำหนดโครงสร้างภาษีสรรพสามิตยาสูบที่เหมาะสม โดยสร้างความสมดุลระหว่าง 3 วัตถุประสงค์หลักของการดำเนินนโยบายภาษียาสูบคือ ควบคุมการสูบบุหรี่ สร้างรายได้ภาครัฐ โดยไม่เกิดผลกระทบต่อผู้ประกอบการมากจนเกินไป
อย่างไรก็ตาม ในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลได้มีการให้ความสำคัญกับการปกป้องผู้ประกอบการในประเทศจนส่งผลให้โครงสร้างภาษียาสูบนั้นบิดเบือน มีการแบ่งขั้นอัตราตามราคาของบุหรี่ ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ว่าบุหรี่จะถูกหรือแพงแต่ก็มีอันตรายไม่ต่างกัน การเก็บภาษีหลายอัตรานั้นจึงไม่เหมาะสม ไม่เป็นไปหลักปฏิบัติที่ดีที่องค์ระหว่างประเทศ เช่น WHO และ World Bank แนะนำ และยังนำมาซึ่งผลกระทบด้านลบต่ออุตสาหกรรมยาสูบทั้งหมด ซึ่งรวมถึงผู้ผลิตในประเทศที่รัฐบาลพยายามใช้โครงสร้างภาษีออกมาปกป้อง ในขณะที่รายได้ของรัฐเองก็ลดลงไปปีละเกือบ 2 หมื่นล้านบาท ทั้งๆ ที่คนสูบบุหรี่อาจไม่ได้ลดลงเลย เพียงหันไปหาสินค้าทดแทนบุหรี่ที่มีราคาถูกกว่าเพราะไม่ได้เสียภาษีเท่านั้น
จากรายงานการวิจัยเรื่องนโยบายโครงสร้างภาษีสรรพสามิตยาสูบที่เหมาะสมกับประเทศไทย ปี 2564 ของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ก็ยังสรุปไว้แล้วว่า เครื่องมือภาษีนั้นเป็นเครื่องมือที่ไม่เหมาะสมในการการปกป้องผู้ผลิตในประเทศ หรือกล่าวคือไม่มีทางเป็นไปได้ที่รัฐจะสามารถแทรกแซงตลาดเพื่อปกป้องผู้ระกอบการในประเทศได้ ตัวอย่างก็มีให้เห็นอยู่รอบโลก ดังนั้น รัฐควรหันมาสร้างสมดุลของนโยบายภาษียาสูบใหม่ โดยเซตซีโร่โครงสร้างภาษียาสูบ ด้วยการปรับโครงสร้างภาษียาสูบให้มีรากฐานเข้มแข็งและเป็นไปตามหลักสากล
ส่วนแนวทางการดำเนินการดังกล่าวที่น่าสนใจมาจาก รายงานการประเมินระบบภาษีบุหรี่ที่เรียกว่า Cigarette Tax Scorecard ปี 2567 ภายใต้โครงการในสังกัดมหาวิทยาลัยแห่งอิลลินอยส์ ที่เมืองชิคาโก ประเทศสหรัฐอเมริกา (www.tobacconomics.org) ที่เพิ่งเปิดเผยออกมาเร็วๆ นี้ ซึ่งประเมินโครงสร้างภาษีสรรพสามิตบุหรี่ทั่วโลก โดยใช้ข้อมูลการเก็บภาษีบุหรี่ขององค์การอนามัยโลก ในภาพรวมนั้น ประเทศไทยได้คะแนนรวมเพียง 1.88 จากคะแนนเต็ม 5 อยู่ในอันดับค่อนข้างต่ำที่ 100 จาก 174 ประเทศ
จุดด้อยของโครงสร้างภาษียาสูบไทยคือ การแบ่งอัตราภาษีตามมูลค่าออกเป็น 2 ขั้น ซึ่งรายงานฯ เห็นว่า เป็นอุปสรรคที่สำคัญที่สุดต่อการจัดเก็บภาษียาสูบ เพราะไม่ว่าจะใช้ระบบภาษีแบบใดแต่หากมีการเก็บภาษีหลายอัตราแล้ว จะได้แค่ 1 คะแนน จาก 5 คะแนนเท่านั้น เพราะโครงสร้างภาษีหลายอัตราจะจูงใจให้ผู้ประกอบการบุหรี่แข่งขันกันผลิตและขายบุหรี่ราคาถูกจนบั่นทอนประสิทธิภาพของการจัดเก็บภาษีบุหรี่ลง ทำให้ไทยได้แค่ 1 คะแนน เช่นเดียวกับบังกลาเทศ อินเดีย พม่า เนปาล ปากีสถาน และศรีลังกา เป็นต้น
ดังนั้น กระทรวงการคลังควรเร่งแก้ไขโครงสร้างภาษีสรรพสามิตยาสูบที่เป็นปัญหามายาวนานกว่า 7 ปีแล้ว แต่ยังหาข้อสรุปไม่ได้ โดยหากประเทศไทยยกเลิกการเก็บภาษีมูลค่าแบบ 2 อัตรา และเปลี่ยนมาใช้อัตราภาษีมูลค่าอัตราเดียวในระดับที่ไม่สูงมากนัก เช่น อัตราภาษีมูลค่าที่ร้อยละ 25-26 ของราคาขายปลีก จะทำให้ประเทศไทยได้คะแนนเพิ่มขึ้นจาก 1 คะแนน เป็น 4 คะแนน เช่นเดียวกับประเทศที่เป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องของโครงสร้างภาษียาสูบ อาทิ เยอรมนี เกาหลีใต้ สิงคโปร์ แคนาดา นิวซีแลนด์ สหราชอาณาจักร และฟิลิปปินส์