น.ส.กิริฎา เภาพิจิตร ผู้อำนวยการฝ่ายการวิจัยความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวว่า 3 สิ่งที่ควรจะต้องทำเพื่อรับมือกับสงครามการค้า คือการปรับตัวด้านการค้า การปรับตัวด้านการลงทุน และการปรับด้านการเงิน การคลัง
ด้านการค้านั้น จะต้องทำการค้าที่มีความหลากหลาย ขยายการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) ให้มากขึ้น ซึ่งรัฐบาลสามารถช่วยเหลือภาคเอกชนในเรื่องการเจรจาเปิดตลาดการค้าใหม่ ๆ เพราะจะไม่สามารถพึ่งพาตลาดส่งออกหลักเดิมๆ เช่น สหรัฐฯ ได้อีก เนื่องจากต้องกระจายความเสี่ยงไปให้ได้มากที่สุด
ขณะที่ ด้านการลงทุน จำเป็นต้องดึงดูดการลงทุนเข้าประเทศให้มากขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งที่จะช่วยดึงดูดการลงทุนได้นั้น รัฐบาลจะต้องส่งเสริมเรื่องการปรับปรุงและเพิ่มทักษะแรงงานของไทย เพื่อรองรับกับการลงทุนในอุตสาหกรรมเพื่ออนาคต การเตรียมความพร้อมในด้านพลังงานสะอาด และปรับโครงสร้างไฟฟ้า ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนด้านพลังงานให้แก่ผู้ประกอบการ รวมทั้งการเตรียมความพร้อมด้าน Digital Connectivity
ด้านการเงินการคลัง ท่ามกลางสถานการณ์สงครามการค้าที่ส่งผลให้ดีมานด์โลกเติบโตช้าลง ราคาสินค้าจะไม่ปรับสูงขึ้นมาก อัตราเงินเฟ้อไม่สูง และดอกเบี้ยโลกเริ่มเข้าสู่ทิศทางขาลงนั้น เป็นโอกาสที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะสามารถปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงได้อีก 2 ครั้งในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ซึ่ง ณ สิ้นปี 68 อาจได้เห็นอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 1.25%
ส่วนกรณีที่มูดี้ส์ ได้ปรับลด Outlook ของไทย จากระดับ Stable เป็น Negative นั้น เนื่องจากมูดี้ส์มองว่าภาคการคลังของไทยมีข้อจำกัดที่ไม่สามารถก่อหนี้ในอนาคตได้มากแล้ว ดังนั้นเงินงบประมาณที่มีอยู่ จะต้องใช้ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด ซึ่งการแจกเงินอาจไม่ใช่คำตอบสุดท้าย เพราะฉะนั้น ภาคการคลังมีความสำคัญ ต้องใช้ให้เกิดประสิทธิภาพ ไม่ก่อหนี้ในอนาคตมาก เพราะถ้าถูกลดอันดับเครดิต จะเสี่ยงทำให้ต้นทุนการเงินสูงขึ้น
ด้านนายสุรชาติ บำรุงสุข อาจารย์ประจำภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวในงานเสวนา “Trade War : เปลี่ยนวิกฤติโลก เป็นโอกาสไทย” กล่าวว่า ภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจ การเมืองโลกที่มีความไม่แน่นอน และสังคมยังมีความเปราะบาง สิ่งที่ประเทศไทยควรต้องเตรียมตัวเพื่อรองรับกับสถานการณ์ระเบียบโลกใหม่ อาทิ จากสถานการณ์สงครามการค้ารอบใหม่ Trade War 2.0 ที่เกิดขึ้นนั้น ทำให้เห็นว่าแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ของประเทศไทยที่ได้จัดทำในสมัยรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คงไม่สามารถตอบโจทย์สถานการณ์ในปัจจุบันได้แล้ว เพราะในความจริงนั้น แผนยุทธศาสตร์ดังกล่าวถือว่าล้มละลายไปตั้งแต่ 3 เงื่อนไขที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมาแล้ว ทั้งสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด, สงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน และล่าสุดสงครามการค้าในยุคทรัมป์ 2.0
“หากเรายังพยายามดันยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีต่อไป ไม่ได้ตอบโจทย์อะไร นอกจากจ่ายเงินให้คณะทำงานยุทธศาสตร์ เราจะจ่ายเบี้ยเลี้ยงคณะทำงานยุทธศาสตร์ไปเพื่ออะไร ในเมื่อเป็นคณะทำงานที่ตายไปแล้ว” นายสุรชาติ กล่าว