นายชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) กล่าวว่า ไม่ว่าผลการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี จะออกมาบวกหรือลบ หรือยังมีนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีรักษาการณ์หรือไม่ โดยรวมภาพคงไม่กระทบต่อภาคการส่งออกสินค้าไทยไปตลาดต่างประเทศทั่วโลกในปี 67 นี้แน่นอน เนื่องจากตลาดโลกยังมีความต้องการสินค้าไทยอยู่เป็นจำนวนมากและยังมีคำสั่งซื้อเข้ามาต่อเนื่อง ดังนั้น สิ่งที่ภาคเอกชนโดยเฉพาะขนส่งทางเรืออยากเห็นคือความเป็นหนึ่งเดียวของรัฐบาล
อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลมีความเป็นเอกภาพและดำเนินนโยบายพัฒนาด้านเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องได้ โดยเป็นแผนการเชื่อมโยงการค้า การลงทุน การขนส่ง และการต่างประเทศเป็นไปในทิศทางเดียวกันจะทำให้เศรษฐกิจไทยและประเทศไทยจะได้รับความสนใจจากต่างประเทศเพิ่มมากยิ่งขึ้น จึงมองว่าไม่ว่าใครหรือพรรคการเมืองใดเข้ามาบริหารประเทศจะต้องมีแผนหรือยุทธศาสตร์ต่อการขับเคลื่อนประเทศไทยให้เป็นแผนเดียวกัน โดยปัจจุบันปฏิเสธไม่ได้ว่าการค้า การลงทุน การขนส่งระหว่างประเทศมีควมาเชื่อมโยงกัน จึงอยากฝากให้ผู้ที่เข้ามาทำหน้าที่บริหารประเทศจะต้องวางแนวทางทั้งภาครัฐและเอกชนควรดำเนินนโยบายไปในทิศทางเดียวกัน.
ด้านนายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ กล่าวว่าหากผลออกมา ได้ไปต่อ สิ่งที่นายกฯ เศรษฐา จะต้องเร่งขับเคลื่อนทุกแนวทางให้เห็นเป็นรูปธรรมเพื่อเรียกความเชื่อมั่นการค้า การลงทุนรวมถึงแนวทางต่างๆ ที่ยังค้างอยู่ให้เห็นผลโดยเร็ว โดยเฉพาะมาตรการดิจิทัลวอลเล็ตเพื่อลดค่าครองชีพให้กับประชาชน แต่หากนายกรัฐมนตรีถูกตัดสิทธิและไม่ได้ไปต่อ ก็ต้องมาดูว่ารองนายกรัฐมนตรีรักษาการณ์จะดำเนินการอย่างไร แต่หากรองนายกรักษาการณ์สามารถยุบสภาผู้แทนราษฎรได้ ก็เห็นว่าจะไม่เป็นผลดีต่อพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาลในขณะนี้แต่อย่างใด
อย่างไรก็ดี เห็นว่าพรรคแกนนำคือพรรคเพื่อไทยอาจจะต้องนำบุคคลในพรรคที่เป็นแคนดิเดตนายกฯ ถึง 2 คน เลือกให้มาเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่เพื่อรักษาสิทธิโครงการดิติทัลวอลเล็ตและแนวนโยบายอื่นๆ ไว้ที่จะเดินหน้าต่อไปได้ เพื่อให้เศรษฐกิจเดินหน้าและไม่หยุดชะงักไป ซึ่งจะเป็นผลดีต่อพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาลอย่างมากโดยไม่ต้องยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่จะทำให้เศรษฐกิจไทยชะลอไปอีกเป็นปีได้ ดังนั้น จึงเชื่อว่าหากไม่มีการเปลี่ยนตัวนายกฯ เศรษฐา โดยเศรษฐกิจไทยจะเติบโตหลังมีโครงการดิจิทัลวอลเล็ตเกิดขึ้นในช่วงปลายปีอยู่ที่ร้อยละ 2.6-2.8 และปี 68 อยู่ที่ร้อยละ 3.2-3.5 ได้ แต่หากยุบสภาและเลือกตั้งใหม่คงต้องประเมินภาพรวมเศรษฐกิจไทยอีกครั้ง