ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า เงินบาท ขยับแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยในช่วงต้นสัปดาห์ตามสัญญาณเงินทุนไหลเข้าตลาดพันธบัตรไทย ประกอบกับยังมีแรงหนุนเพิ่มเติมต่อเนื่องจากการปรับขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลก และการแข็งค่าของสกุลเงินในภูมิภาค สวนทางเงินดอลลาร์ฯ ที่อ่อนค่าลงท่ามกลางความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่อาจได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษีการค้า
อย่างไรก็ดี เงินบาทพลิกอ่อนค่ามาแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบเกือบ 2 เดือนครึ่งที่ 34.44 บาทต่อดอลลาร์ฯ ท่ามกลางบรรยากาศตลาดการเงินในฝั่งเอเชียที่พลิกกลับมาเป็น Risk-Off หลังจากที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ (ปธน. ทรัมป์) ประกาศภาษีตอบโต้ทางการค้ากับหลายประเทศที่เกินดุลกับสหรัฐฯ (Reciprocal Tariffs) ซึ่งโดยรวมมีความรุนแรงมากกว่าที่หลายฝ่ายประเมินไว้ และทำให้เกิดความกังวลว่า สถานการณ์ของสงครามการค้าที่อาจตึงเครียดมากขึ้นจะมีผลกระทบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจของหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย
ผลของการปรับขึ้น Reciprocal Tariffs ของสหรัฐฯ ยังสร้างความผันผวนให้กับตลาดการเงินทั่วโลก รวมถึงค่าเงินดอลลาร์ฯ จนถึงช่วงปลายสัปดาห์ โดยเงินบาทฟื้นตัวกลับมาได้บางส่วน สวนทางเงินดอลลาร์ฯ ที่กลับมาเผชิญแรงขายอย่างหนัก พร้อม ๆ กับการร่วงลงของบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการปรับขึ้นภาษีการค้าของ ปธน. ทรัมป์ และการคาดการณ์เรื่องการปรับลดดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งตลาดเริ่มให้น้ำหนักว่า เฟดอาจจำเป็นต้องปรับลดดอกเบี้ยมากกว่าที่สื่อสารไว้ใน dot plot เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีความเสี่ยงมากขึ้นที่อาจเผชิญกับภาวะถดถอย
เมื่อวันศุกร์ที่ 4 เม.ย. 2568 เงินบาทปิดตลาดในประเทศที่ 34.20 บาทต่อดอลลาร์ฯ เทียบกับระดับ 33.97 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (28 มี.ค.) สำหรับสถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติระหว่างวันที่ 31 มี.ค.-4 เม.ย. 2568 นั้น นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย 6,971.5 ล้านบาท แต่มีสถานะอยู่ในฝั่ง Net Inflows เข้าตลาดพันธบัตรไทย 14,783 ล้านบาท (แบ่งเป็น ซื้อสุทธิพันธบัตร 14,790 ล้านบาท หักตราสารหนี้หมดอายุ 7 ล้านบาท)
เช้าวันอังคาร (8 เม.ย.) เงินบาทแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบกว่า 2 เดือนครึ่งที่ 34.71 บาทต่อดอลลาร์ฯ สอดคล้องกับแรงขายสินทรัพย์เสี่ยงและการอ่อนค่าของสกุลเงินเอเชียอื่น ๆ ท่ามกลางสัญญาณตึงเครียดของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้า
สำหรับ สัปดาห์นี้ ( 8-11 เม.ย. 2568 ) ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทที่ระดับ 34.00-35.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ สถานการณ์ของสงครามการค้า (หลังจีนประกาศเรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าที่มาจากสหรัฐฯ มีผล 10 เม.ย.) ทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก และสัญญาณฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ และถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภคและดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนมี.ค. รายงานการประชุมเฟดเมื่อวันที่ 18-19 มี.ค. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (เบื้องต้น) เดือนเม.ย. รวมถึงตัวเลขจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ นอกจากนี้ตลาดยังรอติดตามตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภคและดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนมี.ค. ของจีนด้วยเช่นกัน