นักเศรษฐศาสตร์แบงก์ชาติชี้ความจริงรายได้คนไทยสุดเหลื่อมล้ำ คนไทยรายได้น้อยแบกรายจ่ายฉิวเฉียดรายได้ โอกาสริบหรี่เก็บออมในชีวิต

นักเศรษฐศาสตร์ แบงก์ชาติ ชี้ความจริงรายได้คนไทยสุดเหลื่อมล้ำ คนไทยรายได้น้อยแบกรายจ่ายฉิวเฉียดรายได้ โอกาสริบหรี่เก็บออมในชีวิต

นายวรวิทย์ มโนปิยอนันต์ เศรษฐกรอาวุโส สำนักเศรษฐกิจมหภาค สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย นำเสนอบทความชื่อว่า ยิ่งโตยิ่งเหลื่อม : ความจริงรสขมของเศรษฐกิจไทย ธุรกิจโตเอาๆ แต่ทำไมคนตัวเล็กกลับยิ่งลำบาก? พบว่า แรงงานมีความเหลื่อมล้ำระหว่างกลุ่มรายได้ ข้อมูลสำรวจภาวะการทำงานของประชากร พบว่า ในปี 2566 แรงงานกลุ่มที่มีรายได้สูงสุด 20% แรก มีรายได้รวมกันคิดเป็น 40% ของรายได้แรงงานทั้งหมด ซึ่งส่วนใหญ่ทำงานในสาขาบริหารราชการ การศึกษา และบริการด้านสุขภาพ ในทางตรงกันข้าม แรงงานที่มีรายได้ต่ำสุดจำนวน 50% กลับมีรายได้รวมกันเพียง 30% โดยกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ทำงานในภาคการค้า ก่อสร้าง และภาคเกษตร

สอดคล้องกับข้อมูลสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือนที่พบว่า ค่าเฉลี่ยรายได้ต่อหัวของประชากรกลุ่มที่มีรายได้สูงสุด 20% แรก สูงกว่ากลุ่มที่มีรายได้ต่ำสุด 20% ถึง 8 เท่า แม้ความแตกต่างนี้จะลดลงจากที่เคยสูงถึง 14 เท่าในปี 2543 แต่ก็ยังสะท้อนความเหลื่อมล้ำที่ยังคงอยู่ในระดับสูง นอกจากด้านรายได้แล้ว ข้อมูลด้านรายจ่ายยิ่งสะท้อนปัญหาความเหลื่อมล้ำและความเปราะบางของกลุ่มคนรายได้น้อย เนื่องจากมีรายจ่ายเกือบเท่ารายได้ที่หามาได้ โดยประชากรที่มีรายได้ต่อหัวต่ำสุด 20% มีรายจ่ายสูงถึง 95% ของรายได้ เทียบกับกลุ่มรายได้สูงสุด 20% ที่ใช้จ่ายเพียง 60% ของรายได้เท่านั้น

ความแตกต่างนี้สะท้อนถึงข้อจำกัดในการออมของคนรายได้น้อย ทำให้เมื่อเกิดวิกฤตอย่างเช่นโควิดที่ผ่านมา คนกลุ่มนี้ไม่มีเงินสำรองมากเพียงพอสำหรับใช้จ่ายในช่วงที่รายได้ลดลงอย่างมาก จำเป็นต้องกู้เงินเพื่อมาใช้จ่าย ส่งผลให้ฐานะการเงินเปราะบางขึ้นจากภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้น ขณะที่การหารายได้มาเพื่อชำระหนี้ก็ทำได้ไม่ง่ายเช่นกัน

นอกจากนี้ ธุรกิจใหญ่ครองอำนาจตลาด โดยจากข้อมูลงบการเงินของภาคธุรกิจปี 2566 พบว่า 90% ของกำไรและ 80% ของรายได้ของภาคธุรกิจทั้งหมดมาจากกิจการที่มีกำไรสูงสุดจำนวน 1% เท่านั้น ซึ่งกิจการในกลุ่มนี้กระจุกตัวอยู่ในไม่กี่สาขาเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคการค้าและการผลิตอาหาร และนอกจากในภาพรวมแล้ว หากพิจารณาในแต่ละสาขาเศรษฐกิจก็พบว่า กิจการขนาดใหญ่มีส่วนแบ่งกำไรมากกว่า 90% ในเกือบทุกสาขาเศรษฐกิจเช่นกัน

การกระจุกตัวของกำไรในบริษัทขนาดใหญ่นั้นส่วนหนึ่งอาจเกิดจากลักษณะเฉพาะของธุรกิจบางประเภทที่ต้องใช้เงินลงทุนขนาดใหญ่ในการดำเนินกิจการ เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ ทำให้กิจการที่อยู่รอดและสามารถสร้างรายได้และกำไรได้อย่างต่อเนื่องมักเป็นกิจการขนาดใหญ่ที่มีเงินทุนค่อนข้างมาก อย่างไรก็ดี ยังพบว่า ในบางสาขาเศรษฐกิจ เช่น โรงแรมและร้านอาหาร ที่กิจการขนาดเล็กและขนาดกลางมีส่วนแบ่งรายได้รวมกันมากถึง 40% แต่ในแง่ผลกำไรกลับพบว่า กิจการขนาดกลางมีส่วนแบ่งกำไรเพียง 18%

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles