ตลาดซื้อขายน้ำมันดิบ นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา รายงานว่า วันที่ 6 มกราคม 2024 ราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ นิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 74.56 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล -0.40 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ -0.5% ส่งผลหยุดราคาปิดขึ้น 5 วันรวมกัน +4.62 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ +6.53%
ด้านราคาน้ำมันดิบ เบร็นท์ อังกฤษ ทะเลเหนือ ปิดที่ 76.30 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล -0.21 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ -0.3% ส่งผลหยุดราคาปิดขึ้น 5 วันรวมกัน +3.93 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ +3.95% และปิดหลุดสถิติราคาน้ำมันดิบปิดสูงสุดในรอบ 9 สัปดาห์ หรือตั้งแต่ 25 ตุลาคม 2024 เป็นต้นมา นอกจากนี้
ในสัปดาห์ผ่านไป ราคาน้ำมันดิบทั้งสองตลาดสำคัญปิด +5% และ +3.3% ตามลำดับ ในปี 2024 ราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ ทะเลเหนือ ปิดสุทธิลดลง 3% เมื่อเทียบกับปี 2023 ขณะที่ ราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ นิวยอร์ก สหรัฐ มีราคาปิดสุทธิเสมอตัวกับในปี 2023
สาเหตุจากนักลงทุนทำกำไรราคาน้ำมันดิบที่ปิดเพิ่มสูงต่อเนื่องถึง 5 วันทำการ นอกจากนี้ มีความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจของประเทศขนาดใหญ่ เช่น เยอรมนีที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในยุโรปกลับมีเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐเผชิญกับแนวโน้มจำนวนครั้งการลดดอกเบี้ยน้อยลง อย่างไรก็ตาม มีการคาดการณ์ว่าจะมีความต้องการใช้น้ำมันดีเซลเพิ่มมากขึ้นในสหรัฐ และยุโรป เนื่องจากภาวะอุณหภูมิจะลดต่ำลงอย่างรวดเร็วและยาวนานในฤดูหนาวขณะนี้ ด้านสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ หรือไออึเอ เปิดเผยการคาดการณ์ว่า ในปี 2025 จะเกิดภาวะตลาดน้ำมันดิบล้นตลาด หรือเกินความต้องการบริโภคที่ 1.4 ล้านบาร์เรลต่อวัน ถ้ากลุ่มโอเปกพลัสมีมติเริ่มทยอยเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบในเดือนมีนาคมปี 2025 หากกลุ่มโอเปกพลัสยังคงมติลดกำลังการผลิตต่อเนื่องเมื่อถึงสิ้นไตรมาสที่ 1 ในปีหน้า ภาวะน้ำมันดิบล้นตลาดโลกจะเพิ่มขึ้นมาเป็นวันละ 950,000 บาร์เรล
ทั้งนี้ ผู้ค้าน้ำมันทุกรายในประเทศไทยปรับราคาขายน้ำมันมีผลวันที่ 3 มกราคมนี้ โดยลดราคากลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอล์ 30 สตางค์/ลิตร นับเป็นการลดราคาน้ำมันครั้งที่ 2 ต่อเนื่อง ส่งผลเป็นราคาน้ำมันขายปลีกต่ำสุดในรอบ 3 สัปดาห์ หรือตั้งแต่วันที่ 13 ธันวาคม 2024