ตลาดซื้อขายน้ำมันดิบ นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา รายงานว่า วันที่ 23 ธันวาคม 2024 ราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ นิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 69.24 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล -0.22 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ -0.32% ด้านราคาน้ำมันดิบ เบร็นท์ อังกฤษ ทะเลเหนือ ปิดที่ 72.63 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล -0.31 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ -0.43% ในสัปดาห์ผ่านไป ราคาน้ำมันดิบทั้งสองตลาดสำคัญปิดลดลง -2.6% และ -2.1% ตามลำดับ
สาเหตุจากนักลงประเมินภาวะตลาดน้ำมันดิบล้นตลาดโลกในปี 2025 และแมคควอรีย์ ซึ่งเป็นสถาบันการเงินชื่อดังแห่งหนึ่งของโลก เปิดเผยว่าในปี 2025 จะเกิดภาวะน้ำมันดิบมีมากกว่าความต้องการใช้ ส่งผลต้องปรับลดตัวเลขเฉลี่ยราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ ลงมากถึง 9.14 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรลจากเดิมที่เฉลี่ย 79.64 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล มาอยู่ที่ 70.50 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ในขณะที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐยังคงทะยานแข็งค่าสูงสุดในรอบ 2 ปี
ด้านสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ หรือไออึเอ เปิดเผยการคาดการณ์ว่า ในปี 2025 จะเกิดภาวะตลาดน้ำมันดิบล้นตลาด หรือเกินความต้องการบริโภคที่ 1.4 ล้านบาร์เรลต่อวัน ถ้ากลุ่มโอเปกพลัสมีมติเริ่มทยอยเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบในเดือนมีนาคมปี 2025 หากกลุ่มโอเปกพลัสยังคงมติลดกำลังการผลิตต่อเนื่องเมื่อถึงสิ้นไตรมาสที่ 1 ในปีหน้า ภาวะน้ำมันดิบล้นตลาดโลกจะเพิ่มขึ้นมาเป็นวันละ 950,000 บาร์เรล
ขณะที่เมื่อวันพุธผ่านมา กลุ่มโอเปกพลัสปรับลดตัวเลขคาดการณ์ความต้องการใช้น้ำมันดิบทั่วโลกในปี 2024 และปี 2025 ครั้งใหม่ ซึ่งนับเป็นการปรับลดตัวเลขดังกล่าวเป็นครั้งที่ 5 ต่อเนื่อง สำหรับในปีนี้ ความต้องการใช้น้ำมันดิบทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นเพียง 1.61 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งเป็นตัวเลขที่ปรับลดลงจากเดิมที่ระดับ 1.82 ล้านบาร์เรลต่อวัน สอดคล้องกับความต้องการใช้น้ำมันดิบทั่วโลกในปี 2025 จะเพิ่มขึ้นเพียง 1.45 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งเป็นตัวเลขที่ปรับลดลงจากเดิมที่ระดับ 1.54 ล้านบาร์เรลต่อวัน
ทั้งนี้ ผู้ค้าน้ำมันทุกรายในประเทศไทยปรับราคาขายน้ำมันมีผลวันที่ 20 ธันวาคมนี้ โดยลดราคากลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอล์ 30 สตางค์/ลิตร นับเป็นการลดราคาน้ำมันครั้งแรกในรอบ 4 วันผ่านมา หรือนับตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2024