ระบบสถาบันการเงิน (สง.) เป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศผ่านการให้ บริการทางการเงินหลากหลายรูปแบบ รวมถึงการได้รับเงินจากบริษัทต่าง ๆ และประชาชน ในรูปแบบของ การรับฝากเงิน การดูแลเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงินเพื่อป้องกันไม่ให้ประสบปัญหาที่อาจลุกลามไปสู่ระบบเศรษฐกิจและกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชนจึงเป็นเรื่องสำคัญ ด้วยเหตุนี้ ประเทศต่าง ๆ จึงได้นำระบบตาข่ายความมั่นคงทางการเงิน (Financial Safety-Net: FSN) เข้ามาช่วยในการสร้างเสริมเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงิน โดยแนวคิดของ FSN จะตั้งอยู่บนพื้นฐานของการประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ประกอบด้วย ธนาคารกลาง หน่วยงานกำกับดูแล สง. หน่วยงานแก้ไขปัญหา สง. หน่วยงานประกันเงินฝาก (หรือที่ในประเทศไทยเรียกว่าหน่วยงานคุ้มครองเงินฝาก) และกระทรวงการคลัง ซึ่งครอบคลุมบทบาทหน้าที่ตั้งแต่ (1) การกำกับดูแล สง. ซึ่งเป็นกลไกด่านแรกสุดในการดูแลความมั่นคงของ สง. (2) การมีแหล่งกู้ยืมสุดท้าย (Lender of Last Resort) เมื่อ สง. ประสบปัญหาสภาพคล่องและไม่สามารถกู้ยืมจากแหล่งเงินอื่นได้ (3) การแก้ไขปัญหา สง. ที่ประสบปัญหา เพื่อให้ สง. สามารถกลับมาดำเนินกิจการได้ตามปกติ หรือหากจะต้องปิดกิจการ จะต้องทำให้เกิดความมั่นใจได้ว่าขั้นตอนการปิดกิจการจะเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่กระทบไปยัง สง. อื่น และ (4) การประกันหรือการคุ้มครองเงินฝาก เพื่อให้ประชาชนมั่นใจได้ว่าหาก สง. ประสบปัญหาจนถึงขั้นปิดกิจการ ประชาชนในฐานะผู้ฝากเงินจะยังสามารถได้รับเงินคืน ทำให้ไม่ตื่นตระหนกแห่ถอนเงินจนเกิดเป็นปัญหาลุกลาม
โดยเฉพาะหน่วยงานประกันเงินฝากในปัจจุบัน นอกจากที่มีหน้าที่หลักในการจ่ายเงินคืนแก่ผู้ฝากในกรณีที่ สง. ปิดกิจการแล้ว ในหลายประเทศยังได้ปรับบทบาทของหน่วยงานนี้ให้มีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาสถาบันการเงินมากขึ้น ทั้งเพื่อจำกัดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อระบบโดยรวม และเพื่อให้สามารถรับมือกับวิกฤตการเงินที่ซับซ้อนและรุนแรงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น ในปี 2566 ที่ผ่านมา ระบบการเงินโลกเกิดความผันผวนอย่างมีนัยสำคัญ จากปัญหา สง. ที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะกรณีปัญหาของ Silicon Valley Bank (SVB) ส่งผลให้ภาครัฐ โดยเฉพาะสถาบันประกันเงินฝากสหรัฐอเมริกา เข้าไปแก้ไขปัญหา เพื่อไม่ให้เกิด “โดมิโนเอฟเฟกต์ (Domino effect)” ที่อาจลุกลามไปยังสถาบันการเงินอื่น ๆ หรือแม้แต่ระบบการเงินระหว่างประเทศ ในกระบวนการนี้ หน่วยงานประกันเงินฝากมีบทบาทแตกต่างกันไปตามโครงสร้างกฎหมายและนโยบายของแต่ละประเทศ
ในสหรัฐอเมริกา หน่วยงานประกัน อย่างสถาบันประกันเงินฝากสหรัฐอเมริกา (Federal Deposit Insurance Corporation : FDIC) ทำหน้าที่แก้ไขปัญหา สง. โดยมีเครื่องมือในการแก้ไขปัญหา สง. ได้แก่ (1) การแปลงหนี้เป็นทุน (Bail-in) กรณีเกิดวิกฤต Systemic (2) การขายและโอนสินทรัพย์ไปยัง สง. อื่น (Purchase and Assumption: P&A) (3) การจัดตั้งธนาคารเฉพาะกิจชั่วคราว (Bridge Bank) และ (4) การจ่ายเงินให้แก่ผู้ฝากและการชำระบัญชี โดย FDIC จะเลือกวิธีการแก้ไขปัญหา สง. ที่ใช้ต้นทุนต่ำสุด (Least Cost) โดยเครื่องมือหลักที่ FDIC ใช้ในการแก้ไขปัญหา สง. จะเลือกใช้การขายและโอนสินทรัพย์ไปยัง สง. อื่น (P&A) เป็นหลัก โดยใช้แหล่งเงินจากกองทุนของหน่วยงาน (Deposit Insurance Fund) ซึ่งได้จากเก็บค่าธรรมเนียมจากสมาชิก อย่างไรก็ดี หากปัญหาที่เกิดขึ้นลุกลามจนอาจกระทบต่อระบบจนเกิดวิกฤต (Systemic) FDIC สามารถดำเนินมาตรการพิเศษ (Systemic Risk Exception) ที่เหมาะสม แม้ว่าจะไม่ใช่วิธีที่ต้นทุนต่ำที่สุดในการแก้ไขปัญหา สง. เพื่อเสริมสร้างความเชี่อมั่นต่อระบบสถาบันการเงิน ป้องกันการเกิดปัญหาลุกลามเป็นวงกว้างจนกระทบเศรษฐกิจ
ขณะที่ อินโดนีเซีย สถาบันประกันเงินฝากอินโดนีเซีย (Indonesia Deposit Insurance Corporation: IDIC) ก็มีบทบาทที่กว้างขวางมากเช่นกัน โดยนอกจากจะจ่ายเงินคืนผู้ฝากแล้ว ยังสามารถเข้าไปสนับสนุนการฟื้นฟูธนาคารด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น (1) การให้ความช่วยเหลือทางด้านเงินทุนชั่วคราวแก่ สง. ที่ประสบปัญหา (2) การโอนทรัพย์สินและหนี้สินให้แก่ Bridge Bank (3) การแปลงหนี้เป็นทุน (4) การควบรวม สง. ที่ประสบปัญหา (5) การให้กู้ยืมเงินหรือรับประกันหนี้ของ สง. ที่มีปัญหา (6) การปรับโครงสร้างหนี้สินและทรัพย์สินของ สง. และการบังคับให้ผู้ถือหุ้นรับส่วนสูญเสีย และ (7) การจ่ายเงินให้แก่ผู้ฝากและการชำระบัญชี สำหรับแหล่งเงินที่ใช้ในการแก้ไขปัญหา สง. IDIC แบ่งแยกเงินกองทุนเป็น 2 ส่วน คือ Deposit Insurance Fund และ Banking Restructuring Program Fund (BRP) ซึ่งทั้ง 2 กองทุนจะมีวัตถุประสงค์การใช้ที่แตกต่างกัน โดย Deposit Insurance Fund มีวัตถุประสงค์การใช้สำหรับแก้ไขปัญหา สง. ในกรณีทั่วไป ขณะที่ BRP มีวัตถุประสงค์การใช้เพื่อรับมือกับปัญหาวิกฤต สง. ที่อาจส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ
ในสหราชอาณาจักร จะมีสถาบันประกันเงินฝากสหราชอาณาจักร (Financial Services Compensation Scheme: FSCS) มีบทบาทหน้าที่ในการประกันเงินฝากเท่านั้น ส่วนหน่วยงานที่ทำหน้าที่แก้ไขปัญหา สง. คือ ธนาคารกลางอังกฤษ (Bank of England: BoE) โดยมี Prudential Regulation Authority (PRA) เป็นหน่วยงานที่อยู่ภายใต้ธนาคารกลาง ทำหน้าที่พิจารณาว่า สง. ที่กำลังประสบปัญหา (Going concern) จะต้องถูกสั่งปิดกิจการและดำเนินการแก้ไขปัญหา สง. หรือไม่ และมีหน้าที่ให้คำแนะนำเกี่ยวกับแนวทางการแก้ไขปัญหา สง. ทั้งนี้ มีเครื่องมือในการแก้ไขปัญหา สง. ได้แก่ (1) การแปลงหนี้เป็นทุน (2) การขายทรัพย์สินหรือหุ้นทั้งหมดหรือบางส่วนให้เอกชน (P&A) (3) การขายทรัพย์สินหรือหุ้นทั้งหมดหรือบางส่วนให้ Bridge Bank (4) การขายทรัพย์สินหรือหุ้นทั้งหมดหรือบางส่วนให้ Asset Management Vehicle (5) การให้กระทรวงการคลังเข้าถือหุ้นใน สง. ที่มีปัญหาชั่วคราว ทั้งนี้ ทางการจะใช้อำนาจเข้าแทรกแซงเพื่อแก้ไขปัญหา สง. ได้ก็ต่อเมื่อ BoE พิจารณาแล้วว่าการเข้าแทรกแซงดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ ซึ่งหากประเมินแล้วไม่เข้าข่ายเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ สง. จะเข้าสู่กระบวนการล้มละลาย ทั้งนี้ FSCS ในอนาคต กำลังจะมีบทบาทร่วมในการจัดหาเงินทุนเพื่อแก้ไขปัญหา สง. โดยกำลังอยู่ในระหว่างการปรับปรุงกฎหมายเพื่อขยายบทบาทให้สามารถสนับสนุนกระบวนการแก้ไขปัญหาได้มากขึ้น
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ บทบาทของหน่วยงานประกันเงินฝากในหลายประเทศได้มีพัฒนาการจากเดิมที่มีบทบาทหน้าที่จำกัดเพียงการจ่ายเงินให้แก่ผู้ฝากเท่านั้น (Paybox) โดยได้ยกระดับบทบาทหน้าที่ให้มีส่วนร่วมในกระบวนการแก้ไขปัญหา สง. มากขึ้น แต่การเลือกบทบาทที่เหมาะสม ก็ขึ้นอยู่กับบริบทของแต่ละประเทศด้วยสำหรับประชาชนที่สนใจข้อมูลและข่าวสารเกี่ยวกับการคุ้มครองเงินฝากสามารถติดตามได้ที่ เว็บไซต์ www.dpa.or.th หรือช่องทางโซเชียลมีเดีย Facebook, YouTube, X, Line, LinkedIn เพียงกดค้นหา dpathailand หรือโทรสอบถามได้ที่ศูนย์ข้อมูลคุ้มครองเงินฝาก (DPA Contact Center) 1158