บอร์ดรฟท.เคาะแก้สัญญาร่วมทุนไฮสปีดเทรน 3 สนามบินใหม่ คาดลงนาม มิ.ย.68 นี้

นายอนันต์ โพธิ์นิ่มแดง รองผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการรถไฟแห่งประเทศไทย(บอร์ดรฟท.) วานนี้(27 มี.ค.)มี มติเห็นชอบร่างสัญญาร่วมลงทุนโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) ฉบับแก้ไขตามหลักการของคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) หรือบอร์ดอีอีซี ที่ได้มีมติอนุมัติไปเมื่อวันที่ 8 ม.ค. 68

โดยหลังจากนี้ รฟท.จะเสนอต่อคณะกรรมการกำกับดูแลและนำเสนอร่างสัญญาแก้ไขเสนอต่อสำนักงานอัยการสูงสุดตรวจพิจารณา จากนั้นรฟท.จะเสนอร่างสัญญาแก้ไขที่ผ่านการตรวจพิจารณาจากสำนักงานอัยการสูงสุดมายังสำนักนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(สกพอ.) เพื่อเสนอบอร์ดอีอีซีและครม.พิจารณา โดยรฟท.และเอกชนคู่สัญญาจะลงนามร่างสัญญาฉบับแก้ไขที่ครม.เห็นชอบได้ในเดือนมิ.ย. 68 ซึ่งรฟท.จะสามารถออกหนังสือแจ้งให้เริ่มงานก่อสร้างโครงการฯ หรือ NTP ได้ทันทีระยะเวลาก่อสร้าง 5 ปี โดยจะเริ่มนับอายุสัญญาไม่เกิน 30 วัน หลังลงนามแก้ไขสัญญาร่วมทุนฯ

สำหรับรายละเอียดแก้ไขสัญญา มี 5 ประเด็น ประกอบด้วย
1.ปรับวิธีการชำระเงินที่รัฐร่วมลงทุนในโครงการฯ (Public Investment Cost: PIC) ทั้งโครงการ จากเดิมกำหนดชำระเงินเมื่อก่อสร้างโครงการฯ แล้วเสร็จและเริ่มเปิดให้บริการเดินรถแล้ว จำนวนไม่เกิน 149,650 ล้านบาท เป็นโดยรัฐต้องจ่ายเร็วขึ้นตามจ่ายเป็นงวด ตามความก้าวหน้าของงานก่อสร้างที่ รฟท. ตรวจรับ ซึ่งวงเงินรวมเป็น 125,932.54 ล้านบาท ทำให้รัฐประหยัดค่าดอกเบี้ยได้ประมาณ 24,000 ล้านบาท
2. กำหนดการชำระค่าสิทธิให้ร่วมลงทุนในโครงการแอร์พอร์ตเรลลิงก์ (ARL) โดยให้เอกชนแบ่งชำระค่าสิทธิจำนวน 10,671.09 ล้านบาท เป็น 7 งวด เป็นรายปี จำนวนเท่า ๆ กัน โดยต้องชำระงวดแรก ณ วันที่ลงนามแก้ไขสัญญา
3.กำหนดส่วนแบ่งผลประโยชน์ตอบแทน (Revenue Sharing) เพิ่มเติม หากในอนาคตอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของโครงการฯ ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และเป็นผลให้เอกชนได้ผลประโยชน์ตอบแทน (IRR) เพิ่มขึ้นเกิน 5.52% รฟท.มีสิทธิเรียกให้เอกชนชำระส่วนแบ่งผลประโยชน์เพิ่มได้ ตามจำนวนที่จะตกลงกันต่อไป
4.การยกเว้นเงื่อนไขการออกหนังสือแจ้งให้เริ่มงาน (Notice to Proceed : NTP) โดยเอกชนสละสิทธิ์เงื่อนไขการได้รับบัตรส่งเสริมการลงทุน (BOI) ก่อน
5.ปรับปรุงข้อสัญญาในส่วนของเหตุสุดวิสัยและเหตุผ่อนผัน ให้สอดคล้องกับสัญญาร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชนในโครงการอื่น ของสกพอ.

นายอนันต์ กล่าวว่า กรณีปรับเงื่อนไขรัฐจ่ายคืนค่าก่อสร้างจากเดิมที่ต้องก่อสร้างเสร็จและเปิดเดินรถแล้วเป็นสร้างไปจ่ายไปนั้น โครงการยังเป็นการร่วมลงทุนแบบ PPP Net Cost ที่เอกชนยังคงรับความเสี่ยงทั้งด้านรายได้ จำนวนผู้โดยสารการพัฒนาเชิงพาณิชย์ ตามหลักการเดิม ส่วนที่รัฐจ่ายคืนค่าก่อสร้างเร็วขึ้นจะเป็นไปตามผลงานการก่อสร้างที่เสร็จตามงวดงานจริง โดยเอกชนต้องโอนทรัพย์สินแต่ละงวดงานที่เสร็จเป็นของรัฐทันทีโดยเอกชนยังคงดูแลบำรุงรักษาและบริหารตามระยะเวลาสัญญา50ปี การได้รับเงินเร็วขึ้น จะทำให้เอกชนมีความคล่องตัวในการจัดหาแหล่งเงินจากสถาบันการเงิน

ทั้งนี้ เมื่อรัฐจ่ายเงินที่รัฐร่วมลงทุนในโครงการเร็วขึ้น ทางเอกชน จะต้องวางหนังสือค้ำประกัน (แบงก์การันตี) เพิ่มเติมกำหนดให้เอกชนนำมาวางหลังลงนามแก้ไขสัญญาร่วมทุนฯ 270 วัน เพื่อให้มีเวลาดำเนินการเรื่อง แหล่งเงิน

การให้วางแบงก์การันตีเพิ่มเติม เพื่อเป็นหลักประกันว่ารัฐจะมีเงินทุนสำหรับดำเนินการก่อสร้างโครงการต่อได้ เมื่อเอกชนไม่สามารถดำเนินการต่อ และรัฐสามารถจัดหาผู้ดำเนินการรายใหม่ได้ โดยไม่มีประเด็นเรื่องทรัพย์สิน เหมือนกรณีโครงการโฮปเวลล์ เพราะมีการโอนเป็นของรัฐตามงวดงานที่แล้วเสร็จ

สำหรับหนังสือค้ำประกันเพิ่มเติม มีจำนวน 4 กลุ่ม ประกอบด้วย
1. หนังสือค้ำประกันค่าก่อสร้างงานโยธา รวมดอกเบี้ยแล้ว วงเงิน125,932.54 ล้านบาท (แบ่งเป็นแบงก์การันตี 5 ฉบับ ๆ ละ24,000ล้านบาท) โดยมีระยะเวลา 5 ปี ซึ่งรัฐจะทยอยคืนเป็นงวด เมื่อมีการก่อสร้างงานโยธาเสร็จตามงวดงาน
2. หนังสือค้ำประกันค่างานระบบรวมดอกเบี้ยแล้ว จำนวน 14,813.49 ล้านบาทโดยจะคืนแบงก์การันตีนี้ พร้อมกับแบงก์การันตีงานโยธา ฉบับที่ 5
3. หนังสือค้ำประกันค่าสิทธิ์รถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรลลิงก์ (ยังไม่รวมค่าดอกเบี้ย) จำนวน 10,671.09 ล้านบาท โดยหักค่าสิทธิ์งวดแรก 1,500 ล้านบาท และรับแบงก์การันตีคืนเท่ากับค่าสิทธิ์ที่จ่ายในงวดต่อๆ ไปจนครบ 7 งวด
4. หนังสือค้ำประกันคุณภาพเดินรถวงเงิน 748.25 ล้านบาท ระยะเวลา 10 ปี

ส่วนเงื่อนไขหลักประกันสัญญาที่มีการวางในวันลงนามสัญญาเมื่อ วันที่24 ตุลาคม2562มูลค่า2,000ล้านบาท(ดำเนินการแล้ว)และหลังจากออก NTP เริ่มก่อสร้างเอกชนจะต้องวางหลักประกันสัญญาเพิ่มอีก2,500ล้านบาททำให้มูลค่าหลักประกันสัญญารวมเป็น4,500ล้านบาท และหนังสือค้ำประกันผู้ถือหุ้น(ดำเนินการแล้ว)ประกอบด้วย บจ.เจริญโภคภัณฑ์โฮลดิ้ง, บมจ.อิตาเลียนไทยดีเวล๊อปเมนต์ (ITD) ,บจ.ไชน่าเรลเวย์คอนสตรัคชั่นคอร์ปอเรชั่น, บมจ.ช.การช่าง (CK) และบมจ.ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ (BEM) เพื่อตกลงร่วมรับผิดชอบโครงการไปตลอดอายุสัญญา 50 ปี มูลค่ารวม 149,000 ล้านบาทยังเป็นไปตามเดิม

อย่างไรก็ตาม จากการเจรจาหากสามารถลงนามแก้ไขสัญญาร่วมทุนฯ และออก NTP ให้บจ.เอเชียเอราวัน เริ่มงานได้ภายในเดือนมิ.ย.68 รฟท.ได้แจ้งให้ซี.พี.เร่งเข้าพื้นที่ก่อสร้าง 2 จุด ที่เป็นงานเร่งด่วนก่อนคือบริเวณใต้รันเวย์ที่ 2 สนามบินอู่ตะเภาและบางซื่อ-ดอนเมืองบริเวณที่มีโครงสร้างร่วมกับโครงการรถไฟไทย-จีน (สัญญา4-1) ซึ่งจะต้องเร่งการออกแบบเพื่อให้เริ่มก่อสร้างภายในปีนี้

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles