นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ในฐานะกรรมการและเลขานุการ คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ดอีวี) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2568 ที่ประชุมบอร์ดอีวี ซึ่งมีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน ได้เห็นชอบให้กรมสรรพสามิต ปรับเงื่อนไขในการคำนวณจำนวนยานยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตชดเชยภายใต้มาตรการ EV3 และ EV3.5 โดยให้ “ผลิต 1 คัน นับเป็นการผลิตชดเชย 1.5 คัน” สำหรับยานยนต์ที่ผลิตและส่งออกไปต่างประเทศ ตั้งแต่ปี 2568 ตามข้อเสนอของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)และสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย ซึ่งแนวทางดังกล่าวจะช่วยสร้างแรงจูงใจให้ผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าขยายตลาดส่งออก และเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในการวางแผนธุรกิจ รวมทั้งเป็นโอกาสสำคัญในการผลักดันประเทศไทยให้เป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อการส่งออกในระดับภูมิภาคและระดับโลกสอดรับกับเป้าหมาย 30@30 โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดโลกยังเผชิญความผันผวน ทั้งด้านความต้องการ เทคโนโลยี และภูมิรัฐศาสตร์ โดยคาดว่าจะทำให้จำนวนการส่งออกยานยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเป็นประมาณปีละ 12,500 คัน ในปี 2568 และ 52,000 คัน ในปี 2569
นอกจากนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับกระบวนการจดทะเบียนยานยนต์ที่จำหน่ายในช่วงเวลาสิ้นปี บอร์ดอีวีได้เห็นชอบให้กรมสรรพสามิตขยายเวลาการจดทะเบียนยานยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในประเทศ ภายใต้มาตรการ EV3 และ EV3.5 ออกไปอีก 1 เดือน จากเดิมมาตรการ EV3 ให้จดทะเบียนภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2568 เป็น “จำหน่ายภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2568 และจดทะเบียนภายในวันที่ 31 มกราคม 2569” และมาตรการ EV3.5 จากเดิมให้จดทะเบียนภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2570 เป็น “จำหน่ายภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2570 และจดทะเบียนภายในวันที่ 31 มกราคม 2571”
บอร์ดอีวี ยังได้กำหนดหลักเกณฑ์ในการกำกับดูแลการจ่ายเงินอุดหนุนของกรมสรรพสามิตตามมาตรการ EV3 และ EV3.5 เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างรอบคอบ มีประสิทธิภาพ และมีความยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น ดังนี้
1) สำหรับผู้เข้าร่วมมาตรการ EV3 ที่ไม่ขยายเวลาผลิตชดเชย ให้จัดทำแผนคาดการณ์การผลิตชดเชย และรายงานผลการผลิตชดเชยเป็นรายเดือน โดยกรมสรรพสามิตจะยับยั้งการจ่ายเงินอุดหนุนจนกว่าจะผลิตชดเชยสะสมได้ตั้งแต่ร้อยละ 50 ของจำนวนที่ต้องผลิตชดเชยทั้งหมด และผลิตได้ตามแผนคาดการณ์ ในกรณีผู้เข้าร่วมมาตรการ EV3 ที่จะขยายเวลาผลิตชดเชยหรือผู้เข้าร่วมมาตรการ EV3.5 จะต้องจัดทำแผนคาดการณ์การผลิตชดเชย โดยผู้เข้าร่วมมาตรการ EV3 ที่ขยายเวลา ต้องวาง Bank Guarantee 20 ล้านบาท สำหรับบริษัทที่มีทุนจดทะเบียน 5,000 ล้านบาทขึ้นไป และ 40 ล้านบาท สำหรับบริษัทที่มีทุนจดทะเบียนต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท โดยกรมสรรพสามิต จะยับยั้งการจ่ายเงินอุดหนุน หากผู้ได้รับสิทธิมียอดการผลิตชดเชยสะสมต่ำกว่าสัดส่วนที่กำหนด
2) ให้ผู้เข้าร่วมมาตรการ EV3 ที่จะขยายเวลาผลิตชดเชย สามารถจัดหาโรงงานผลิตยานยนต์ไฟฟ้าเพิ่มเติมจากเดิมได้ เพื่อให้สามารถผลิตชดเชยได้ภายในเวลาที่กำหนด
3) ให้ผู้เข้าร่วมมาตรการ EV3 และ EV3.5 สามารถทบทวนการขอรับสิทธิและการนับจำนวนการนำเข้าเพื่อการผลิตชดเชยได้ โดยรถยนต์ไฟฟ้าที่ได้นำเข้าและจดทะเบียนแล้ว แต่ยังไม่ได้รับเงินอุดหนุน บริษัทสามารถเลือกที่จะคืนส่วนต่างทางภาษีสรรพสามิต พร้อมเบี้ยปรับ เงินเพิ่ม เพื่อที่จะ ไม่ต้องนับเป็นยอดในการผลิตชดเชย
บอร์ดอีวี ยังได้รับทราบรายงานผลการส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า โดยล่าสุดในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 มียอดจดทะเบียนรถยนต์นั่ง BEV ใหม่ 57,289 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 52 และคิดเป็นสัดส่วนถึงกว่าร้อยละ 15 ของรถยนต์ใหม่ทั้งหมด นับเป็นตัวเลขสูงที่สุดในอาเซียน โดยปัจจุบันมียอดจดทะเบียนรถยนต์นั่ง BEV สะสมในไทยกว่า 203,000 คัน นอกจากนี้ ยังมียานยนต์ไฟฟ้าประเภทอื่น ๆ เช่น จักรยานยนต์ไฟฟ้า 71,900 คัน รถโดยสารและรถบรรทุกไฟฟ้า 3,800 คัน และรถสามล้อไฟฟ้า 1,000 คัน
ปัจจุบันมีผู้ประกอบการเข้าร่วมมาตรการ EV3 จำนวน 27 บริษัท ประกอบด้วย ผู้ผลิตรถยนต์นั่งและ รถกระบะไฟฟ้า 16 บริษัท และรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า 11 บริษัท และผู้ประกอบการเข้าร่วมมาตรการ EV3.5 จำนวน 10 บริษัท เป็นผู้ผลิตรถยนต์นั่งและรถกระบะไฟฟ้าทั้งสิ้น โดยปัจจุบันมียอดจดทะเบียนยานยนต์ไฟฟ้ารุ่นที่เข้าข่ายได้รับสิทธิตามมาตรการ EV3 และ EV3.5 รวม 209,623 คัน แบ่งเป็นประเภทรถยนต์ 175,064 คัน และรถจักรยานยนต์ 34,559 คัน
ในส่วนของการส่งเสริมการลงทุนผลิตยานยนต์ไฟฟ้า ชิ้นส่วนสำคัญ สถานีชาร์จไฟฟ้า และสถานีสับเปลี่ยนแบตเตอรี่ มีเงินลงทุนรวม 137,698 ล้านบาท
นอกจากนี้ ในส่วนของการพัฒนาสถานีอัดประจุยานยนต์ไฟฟ้าสาธารณะ ข้อมูลล่าสุดในเดือนมีนาคม 2568 มีจำนวนทั้งสิ้น 3,720 สถานี จำนวน 11,622 หัวจ่าย แบ่งเป็น DC Charger (Fast Charge) จำนวน 6,524 หัวจ่าย และ AC Charger จำนวน 5,098 หัวจ่าย โดยมีการกระจายครอบคลุมในทุกภูมิภาคทั่วประเทศ