น.ส.ภัทร์ภูรี ชินกุลกิจนิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน และรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP เปิดเผยว่า ผลดำเนินงานบริษัทในไตรมาส2/2567 ได้รับแรงกดดันจากค่าการกลั่น(GRM) ที่ปรับลดลง แต่ราคาน้ำมันดิบที่ปรับสูงขึ้น ทำให้มีกำไรจากการสต็อกน้ำมัน(Stock gain) รวมทั้งบริษัทจะมีการบันทึกกำไรพิเศษจากการขายเงินลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศญี่ปุ่น จำนวน 9 โครงการ มูลค่าราว 10,377 ล้านบาทของบริษัทลูก คือ บมจ.บีซีพีจี(BCPG) และรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์มในไทย อีก 13 เมกะวัตต์ ซึ่งในส่วนนี้ 8 เมกะวัตต์ จะได้จ่ายไฟเชิงพาณิชย์( COD) ช่วงไตรมาส 2 นี้ และอีก 5 เมกะวัตต์ จะCOD ภายในสิ้นปีนี้ และโรงไฟฟ้าโซลาร์ฯในไต้หวัน กำลังการผลิต 469 เมกะวัตต์ทยอย COD ตั้งแต่ปี2567-69
ซึ่งผลประกอบการในปี2567 บริษัทมั่นใจว่าการทำ Synergy ร่วมกับบริษัท บางจาก ศรีราชา จำกัด (มหาชน) หรือ BSRC จะเป็นตัวผลักดัน ทำให้บรรลุเป้าหมายมูลค่า EBITDA Synergy (ก่อนหักภาษี) ไม่น้อยกว่า 3,000 ล้านบาทต่อปี ส่วนปี 2568 โครงการการผลิตน้ำมันอากาศยานยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel)เป็นตัวหนุนให้บางจากฯเติบโตขึ้น รวมถึงการลงทุนต่างๆของบริษัททั้งรูปแบบ M&A,E&P และการขยายไปในธุรกิจใหม่ๆ จะทำให้ EBITDA โตอย่างต่อเนื่อง ตามตั้งเป้าบริษัท EBITDA แตะ 100,000 ล้านบาทภายในปี 2573
ส่วนความคืบหน้าโครงการก่อสร้างหน่วยผลิตน้ำมันอากาศยานยั่งยืน หรือ SAF แห่งแรกในประเทศไทย มูลค่าประมาณ 8,000 ล้านบาท เบื้องต้นคาดว่าการก่อสร้างจะแล้วเสร็จและสามารถเริ่มผลิตได้ภายในช่วงไตรมาส 2/2568 โดยได้มีการดำเนินการจัดหาวัตถุดิบหลักในการผลิตผ่านโครงการ “ทอดไม่ทิ้ง” ในการรับซื้อน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้ว และมีการลงนามข้อตกลงความร่วมมือเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับคอสโม ออยล์ และซูมิโตโม คอร์ปอเรชั่น เพื่อจำหน่ายผลิตภัณฑ์ SAF
ปัจจุบัน บางจากฯ มีกำลังการกลั่น อยู่ที่ระดับ 294,000 บาร์เรลต่อวัน และมีส่วนแบ่งการตลาดน้ำมันค้าปลีก(มาร์เก็ตแชร์) สัดส่วน 29.2% มีสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศ อยู่ที่ 2,217 แห่ง และมีกำลังผลิตไฟฟ้า 2,049 เมกะวัตต์