เคาท์เตอร์พ้อยท์ รีเสิร์ช (Counterpoint Research) สำนักวิจัยด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ชื่อดังแห่งหนึ่ง เปิดเผยว่า ยอดขายของรถยนต์พลังงานพลังงานไฟฟ้าหรือรถอีวีในภูมิภาคอาเซียนช่วงไตรมาสที่หนึ่งของปีนี้ พบว่า มียอดขายเพิ่มสูงขึ้นซึ่งนำโดย บีวายดีจากประเทศจีน และวินฟาสท์จากประเทศเวียดนาม ส่งผลต่อการแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดของรถยนต์เครื่องสันดาป หรือรถน้ำมันซึ่งมีแบรนด์รถยนต์สัญชาติญี่ปุ่น และเกาหลีใต้เป็นผู้นำในก่อนหน้านี้
สาเหตุจากบรรดาผู้ผลิตรถยนต์ในญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นผู้นำในการผลิตรถเครื่องยนต์สันดาปมาเป็นเวลานาน ได้ปรับตัวให้เข้ากับตลาดรถอีวีอย่างเชื่องช้า ท่ามกลางผู้ผลิตรถอีวีจากประเทศจีนโดยเฉพาะทั้งที่เป็นฐานผลิตให้กับรถไฟฟ้าแบรนด์อื่นๆ และผลิตรถไฟฟ้าโดยใช้แบรนด์ตัวเองได้เข้ามาเติมเต็มความต้องการของตลาดที่เกิดการยอมรับรถยนต์พลังงานใหม่ ซึ่งรวมถึงรถอีวี
เคาท์เตอร์พ้อยท์ รีเสิร์ช เปิดเผยต่อไปว่ามีมากกว่า 70% ของรถอีวีที่ขายในตลาดอาเซียนเป็นแบรนด์จีน ซึ่งนำโดยค่ายบีวายดี อย่างไรก็ตาม สัดส่วนดังกล่าวนั้นลดลงราว 5% จากเดิมในปี 2023 ที่มีมากกว่า 75% ของรถอีวีในตลาดอาเซียนเป็นรถสัญชาติจีน เมื่อพิจารณาในแต่ละประเทศที่อยู่ในอาเซียนจะพบว่า ประเทศไทยกลายเป็นผู้นำในการรับการเปลี่ยนแปลงไปสู่ตลาดรถอีวี โดยเฉพาะบรรดาผู้ผลิตรถอีวีสัญชาติจีนได้ลงนามในการลงทุนสร้างโรงงานและเครือข่ายการผลิตรถอีวีมีมูลค่ารวมกว่า 1,140 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 42,180 ล้านบาทตามมาตรการส่งเสริมของรัฐบาลไทย
ขณะที่ประเทศไทย ซึ่งเป็นฐานการผลิตรถยนต์ของแบรนด์สัญชาติญี่ปุ่นมาเป็นเวลานาน จนจะได้รับฉายาว่าเป็นดีทรอยท์แห่งเอเชียนั้น พบว่า ในไตรมาสที่ 1 ของปีนี้ ผู้ผลิตรถสัญชาติญี่ปุ่นมียอดขายของรถอีวีในตลาดอาเซียนราว 55%
ที่น่าสนใจคือ วินฟาสท์ การลายเป็นผู้ผลิตรถอีวีสัญชาติเวียดนาม ที่มียอดขายรถอีวีช่วงไตรมาสที่หนึ่งของปีนี้เติบโตอย่างก้าวกระโดดสูง กว่า 400% และมีส่วนแบ่งตลาดรถอีวีเป็นอันดับ 2 ในอาเซียน โดยคิดเป็น 17% ของยอดขายรถอีวีในตลาดอาเซียน ในขณะที่บีวายดี ขึ้นเป็นผู้นำตลาดอันดับ 1 มียอดขายคิดเป็น 47% ของตลาดรถอีวีในอาเซียน
ด้านรถอีวีแบรนด์เทสล่าซึ่งเป็นผู้ผลิตรถอีวีชื่อดังระดับโลกจากสหรัฐอเมริกาพบว่ามีส่วนแบ่งตลาดรถอีวีในตลาดอาเซียนลดลง 2% มาอยู่ที่ 4% ในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปีนี้ ท่ามกลางตัวเลขยอดขายในภาพรวมเพิ่มขึ้น 37% ในช่วงเวลาเดียวกัน