นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ เปิดเผยผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาว่า ตามที่คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบอร์ดบีโอไอ ได้ออกมาตรการช่วยเหลือนักลงทุนไทยและต่างชาติที่ได้รับผลกระทบจากการปิดด่านพรหมแดนไทย-กัมพูชาเมื่อเดือนสิงหาคม 2568 พบว่ามีนักลงทุนส่วนน้อยที่ย้ายฐานการผลิตจากกัมพูชามายังไทย แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากการปิดชายแดนไทย-กัมพูชาทำให้ค่าขนส่งเพิ่มขึ้น 5-10เท่าและระยะเวลาขนส่งเพิ่มขึ้นจากเดิมใช้เวลาครึ่งวันเป็น7 วันขนส่งสินค้ามาไทยก็ตาม เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติมีการตั้งโรงงานขนาดใหญ่ในกัมพูชา เพื่อหวังใช้แรงงานจำนวนมาก(labour intensive) ทำให้ลำบากในการย้ายฐานการผลิตมาไทย
ส่วนสถานการณ์ไทย-กัมพูชา การเปิดชายแดนอีกครั้งคงต้องใช้เวลานาน เพราะมีประเด็นความมั่นคง ดังนั้นนักลงทุนต่างชาติคงต้องหาวิธีเชิงธุรกิจในการแก้ปัญหา และอยู่ที่Business Model ซึ่งโอกาสที่ย้ายฐานฐานจากไทยไปกัมพูชาเป็นไปได้ยากเพราะโรงงานในไทยใช้เทคโนโลยีและแรงงานที่มีทักษะสูง ดังนั้นการย้ายฐานการผลิตจากกัมพูชามาไทยมีความเป็นไปได้ แต่ต้องตอบโจทย์ให้ได้ว่าหากย้ายฐานมาไทยจะหาแรงงานจำนวนมากจากไหน ซึ่งเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ภาครัฐต้องดำเนินการ ซึ่งที่ผ่านมาหลังปิดชายแดนไทย-กัมพูชา ผู้ประกอบการต้องขนส่งต้องอ้อมไปเวียดนามและลาวก่อนส่งมาไทย ทำให้ค่าขนส่งและระยะเวลาการขนส่งเพิ่มขึ้นมาก ส่วนใหญ่ญี่ปุ่นลงทุนผลิตชิ้นส่วนฯอิเล็กทรอนิกส์ในกัมพูชา อาทิบริษัท มินิแบ และเดนโซ่ เป็นต้น
อย่างไรก็ดี บอร์ดบีโอไอฯเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2568 ได้เห็นชอบมาตรการส่งเสริมการลงทุนกรณีได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อช่วยเหลือนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติที่ได้รับผลกระทบจากการปิดด่านพรมแดนไทย-กัมพูชา โดยจะให้สิทธิประโยชน์ยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักรใช้แล้วในทุกกรณี และเงินลงทุนในเครื่องจักรใช้แล้วที่มีอายุไม่เกิน 10 ปี จะให้นับเป็นวงเงินยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ถึงร้อยละ 100 ของเงินลงทุน สำหรับสิทธิประโยชน์อื่น ๆ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ทั่วไป ส่วนกรณีย้ายเครื่องจักรบางส่วนมาใช้งานรวมกับโครงการที่ได้รับส่งเสริมการลงทุนอยู่เดิม หากระยะเวลานำเข้าเครื่องจักรเดิมสิ้นสุดไปแล้ว บีโอไอจะอนุญาตให้นำเข้าเครื่องจักรเฉพาะที่ย้ายมาจากกัมพูชา เป็นเวลา 1 ปี นับตั้งแต่ยื่นขอแก้ไขโครงการ ทั้งนี้ นักลงทุนต้องเสนอแผนการย้ายฐานผลิตจากกัมพูชา และยื่นคำขอภายในสิ้นปี 2569
โดยบีโอไอเตรียมมาตรการเร่งด่วนที่จะเร่งดำเนินการภายใน 4 เดือนนี้ มี 3มาตรการหลัก เสนอต่อที่ประชุมบอร์ดบีโอไอนัดแรกที่มีนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธานในวันที่ 17 ตุลาคมนี้ ได้แก่ 1. มาตรการเร่งรัดการลงทุน โดยในช่วง2 ปี(ปี2566-67) ที่ผ่านมา บีโอไอได้อนุมัติส่งเสริมการลงทุนโครงการต่างพบว่ามีโครงการที่ยังไม่ได้เริ่มลงทุนรวมมูลค่า 4 แสนล้านบาท ดังนั้นบีโอไอได้คัดเฉพาะโครงการขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าการลงทุนเกิน 1พันล้านบาทขึ้นไป พบว่ามีจำนวน 70โครงการ คิดเป็นมูลค่าโครงการรวม 3แสนล้านบาท ซึ่งยังไม่ได้เริ่มลงทุนส่วนใหญ่จะอยู่ในอุตฯData Center อิเล็กทรอนิกส์ นิคมอุตสาหกรรม และธุรกิจไฟฟ้า โดยบีโอไอจะหารือทั้ง 70โครงการเพื่อสอบถามถึงปัญหา และหาแนวทางแก้ไขได้ตรงจุด เพื่อให้เกิดการลงทุนจริงภายใน 4 เดือนนี้ อาทิ การขอใบอนุญาตต่างๆ โดยจะเร่งปลดล็อคให้ผู้ประกอบการช่วยแก้ปัญหาระยะสั้น
โดยจะทำแบบ“Fast Pass” ซึ่งเป็นกลไกใหม่เพื่อแก้ปัญหาและอุปสรรคในการลงทุน ซึ่งโครงการที่ได้รับสถานะนี้จะได้รับการอำนวยความสะดวกในการลงทุนให้เป็นแบบ “Fast Track” ทั้งในการติดต่อขอใบอนุญาตจากหน่วยงานต่างๆ
2.มาตรการพัฒนาบุคลากรทักษะสูงสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย อาทิ เซมิ คอนดักเตอร์ ยานยนต์ไฟฟ้า(อีวี) แผงวงจรพิมพ์(PCB ) AI เป็นต้น โดยบีโอไอร่วมกับ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และภาคเอกชน จะปรับปรุงพัฒนาหลักสูตรเพื่อเพิ่มทักษะในระยะสั้น โดยจะมี3 รูปแบบ ได้แก่ ลักษณะ Bootcamp หลักสูตรระยะสั้น ที่รวมการฝึกปฏิบัติในโรงงาน และหลักสูตรออนไลน์ เทรนนิ่ง มีเป้าหมายสร้างบุคลากรให้มีความพร้อมตามนโยบายของรองนายกฯ เอกนิติ ที่ตั้งไว้ 100,000 คนในช่วง4เดือน
และ 3.มาตรการยกระดับผู้ประกอบการไทยให้สามารถปรับตัวในการแข่งขันโลกยุคใหม่ โดยปรับเครื่องจักรให้ทันสมัย การใช้Automation และดิจิทัล เป็นต้น โดยบีโอไอให้การอุดหนุน เพื่อเริ่มต้นให้เกิดเป็นรูปธรรมใน4เดือนนี้สอดรับอายุรัฐบาลอนุทิน