นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2568 ที่ประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) ซึ่งมีนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธาน ได้อนุมัติโครงการลงทุน จำนวน 15 โครงการ มูลค่ากว่า 2.4 แสนล้านบาท ครอบคลุมอุตสาหกรรมดาต้าเซ็นเตอร์ พลังงานสะอาด นิคมอุตสาหกรรมอัจฉริยะ และการขนถ่ายสินค้าทางเรือ พร้อมปรับปรุงการส่งเสริมอุตสาหกรรมเหล็กคุณภาพสูง โดยใช้เทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ประเดิมคัดเลือก 16 โครงการลงทุนขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมเป้าหมายเข้าระบบ Thailand FastPass เพื่อเร่งรัด ปลดล็อกอุปสรรค และอำนวยความสะดวกให้เกิดการลงทุนจริงโดยเร็ว สนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทย เพื่อก้าวสู่ปีแห่งการลงทุน 2569 ตามแผนของรัฐบาล
อนุมัติ 15 โครงการลงทุนกว่า 2.4 แสนล้านบาท
บอร์ดบีโอไอได้อนุมัติโครงการลงทุนขนาดใหญ่ จำนวน 15 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 2.4 แสนล้านบาท ประกอบด้วย
กิจการดาต้าเซ็นเตอร์ 11 โครงการ รวมมูลค่า 184,740 ล้านบาท ได้แก่ บริษัท เคอเร้นท์ 19,773 ล้านบาท บริษัท เอสทีที จีดีซี 9,348 ล้านบาท บริษัท เคทู สแทรททิจิค อินฟราสตรัคเจอร์ 30,869 ล้านบาท บริษัท ไทย ดีซี วัน 22,110 ล้านบาท บริษัท เอสทีคลีนพลาเน็ต 20,635 ล้านบาท บริษัท ดาเรีย ดาต้า เซ็นเตอร์ แอนด์ คลาวด์ เซอร์วิสเซส 6,594 ล้านบาท บริษัท จีเอสเอ ดาต้า เซนเตอร์ 30,611 ล้านบาท บริษัท สมาร์ท เมกะวัตต์ 3,797 ล้านบาท บริษัท ทีดี ดาต้า อินเตอร์เนชั่นแนล 13,000 ล้านบาท บริษัท ตง หนาน ดาต้า 20,625 ล้านบาท และบริษัท ไพรม์ เมกะวัตต์ 7,378 ล้านบาท
กิจการนิคมอุตสาหกรรมอัจฉริยะ ของบริษัท อารยะ แลนด์ ดีเวลลอปเม้นต์ จังหวัดสมุทรปราการ เงินลงทุน 3,464 ล้านบาท
กิจการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม ขนาด 90 เมกะวัตต์ ของบริษัท บลู สกาย วินด์ พาวเวอร์ 31 จังหวัดอุบลราชธานี เงินลงทุน 5,635 ล้านบาท
กิจการขนถ่ายสินค้าทางเรือ ของบริษัท ไทยแท้งค์เทอร์มินัล ที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง เงินลงทุน 14,122 ล้านบาท
กิจการผลิตโพแทสเซียมคลอไรด์ ของบริษัท เอเชีย แปซิฟิค โปแตซ คอร์ปอเรชั่น จังหวัดอุดรธานี เงินลงทุน 40,468 ล้านบาท
คัด 16 โครงการเข้า Thailand FastPass บอร์ดบีโอไอยังได้คัดเลือกโครงการที่ได้ยื่นคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนแล้ว เข้าสู่กลไก Thailand FastPass เป็นล็อตแรก จำนวน 16 โครงการ โดยเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่มีเงินลงทุนมากกว่า 1,000 ล้านบาท อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง และเป็นโครงการที่สร้างประโยชน์อย่างมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจ รวมมูลค่าเงินลงทุนกว่า 1.7 แสนล้านบาท และจะก่อให้เกิดการจ้างงานคนไทยกว่า 7,000 คน ได้แก่ เทคโนโลยีชีวภาพบริษัท บราสเคม สยาม ชิ้นส่วนยานยนต์สมัยใหม่ บริษัท ไอซิน พาวเวอร์เทรน และเหอไซ่ ชิ้นส่วนอากาศยาน บริษัท สยามมิชลิน และแซม พรีซิชั่น
อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง บริษัท ฟาบริเนท, โกลด์ เซอร์คิท อีเลคโทรนิคส์ (2 โครงการ), เพ๊ง เชิน เทคโนโลยี (2 โครงการ), ลีเจ้นท์คอมม์, แอดวานซ์ อินเตอร์คอนเนคชั่น เทคโนโลยี และ พานาโซนิค แมนูแฟคเจอริ่ง ดาต้าเซ็นเตอร์ระดับ Hyperscale บริษัท ซีนิท ดาต้า เซ็นเตอร์ แอนด์ คลาวด์ เซอร์วิสเซส และตง หนาน ดาต้า ศูนย์โลจิสติกส์อัจฉริยะ บริษัท ซัพพลาย เชน ซิตี้
ทั้งนี้ บีโอไอกำหนดให้โครงการที่ได้รับบัตร Thailand FastPass ต้องมีการลงทุนจริงไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของมูลค่าการลงทุนรวม ภายใน 6 เดือนนับจากวันที่ได้รับบัตร เพื่อเร่งให้เกิดการลงทุนอย่างเป็นรูปธรรมและสามารถวัดผลได้ชัดเจน และบอร์ดบีโอไอจะทยอยพิจารณาคัดเลือกโครงการเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง เพื่อผลักดันให้เกิดการลงทุนจริง และสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในช่วงปี 2569–2570
ยกระดับการส่งเสริมอุตสาหกรรมเหล็กไทย ที่ประชุมฯ ได้ทบทวนการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมเหล็ก เพื่อแก้ไขปัญหาภาวะล้นตลาดและอัตราการใช้กำลังการผลิตต่ำของผู้ผลิตในประเทศ พร้อมปรับทิศทางการส่งเสริมไปสู่การผลิตเหล็กคุณภาพสูงและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รองรับการเปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรมเหล็กสีเขียวตามแนวโน้มตลาดโลก โดยมีมาตรการสำคัญดังนี้
งดส่งเสริมกลุ่มเหล็กขั้นกลางที่ไม่มีการผลิตต่อเนื่องจากเหล็กขั้นต้น กลุ่มเหล็กทรงแบนสำหรับงานอุตสาหกรรมและงานก่อสร้าง เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมเหล็กกลุ่มที่มีภาวะสินค้าล้นตลาด จนทำให้ผู้ผลิตเดิมจำเป็นต้องชะลอการผลิตอย่างมีนัยสำคัญ
งดส่งเสริมการผลิตเหล็กถลุง เพื่อผลักดันให้มีการผลิตเหล็กคุณภาพสูง และมีกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ปรับเงื่อนไขการส่งเสริมกิจการเหล็ก 5 ประเภทในกลุ่มเหล็กขั้นกลางและขั้นปลาย โดยกำหนดให้ต้องใช้เตาหลอมไฟฟ้า หรือเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อสนับสนุนกระบวนการผลิตที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก