นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) กล่าวว่า กิจกรรม “ตลาดทุนพบภาครัฐ” เพื่อให้นักลงทุนได้รับข้อมูลทิศทางการลงทุนจากหน่วยงานภาครัฐโดยตรง โดยเฉพาะในช่วงที่ภาคการส่งออกและการท่องเที่ยวชะลอตัว จึงต้องพึ่งพาการลงทุนเป็นเครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซึ่งคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ถือเป็นกลไกสำคัญในการดึงดูดเม็ดเงินจากทั้งในและต่างประเทศ
ด้านนายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการบีโอไอ เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2568 (มกราคม–มีนาคม) บีโอไอได้รับคำขอส่งเสริมการลงทุนรวม 822 โครงการ คิดเป็นมูลค่ากว่า 431,236 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึงร้อยละ 97 สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ยังมองเห็นศักยภาพของไทยท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก
ทั้งนี้ภาคตะวันออกยังคงเป็นพื้นที่ยอดนิยม คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 57 ของมูลค่าการลงทุนรวม รองลงมาคือภาคกลาง ร้อยละ 35 บีโอไอจึงเร่งกระจายการลงทุนไปสู่ภูมิภาคอื่น ควบคู่กับการผลักดันโครงสร้างพื้นฐานใหม่ ทั้งระบบไฟฟ้าสะอาด โครงสร้างดิจิทัล และการสร้างบุคลากรทักษะสูงเฉพาะทาง เพื่อรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น BCG, xEV, เซมิคอนดักเตอร์ และดิจิทัลแพลตฟอร์ม
โลกกำลังเผชิญปัจจัยเปลี่ยนผ่านสำคัญหลายด้าน เช่น ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical Tension) การเร่งเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว (Green Transformation) การบังคับใช้ภาษีขั้นต่ำโลก (Global Minimum Tax) การพัฒนาเทคโนโลยีแบบก้าวกระโดด และการแข่งขันแย่งชิงบุคลากรคุณภาพสูง ซึ่งจะส่งผลต่อทิศทางการตัดสินใจลงทุนของบริษัทข้ามชาติทั่วโลก ไทยจึงต้องเสริมจุดแข็งเดิม เช่น ความพร้อมด้านซัพพลายเชน ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ และระบบโลจิสติกส์ พร้อมกับการสร้างระบบนิเวศใหม่ (Ecosystem) เช่น โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล การลงทุนในพลังงานสะอาด การปรับปรุงกฎเกณฑ์เพื่อเอื้อต่อการอยู่อาศัยและลงทุน ตลอดจนการเร่งเจรจา FTA กับประเทศคู่ค้าหลัก เพื่อเปิดตลาดใหม่และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
ทิศทางการส่งเสริมการลงทุนจากนี้ไป บีโอไอจะมุ่งเน้นไปที่อุตสาหกรรมแห่งอนาคต (New S-Curve) โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีขั้นสูง พลังงานสะอาด เซมิคอนดักเตอร์ ระบบขนส่งไฟฟ้า และบริการดิจิทัล พร้อมเน้นการพัฒนาบุคลากรควบคู่กับการกระจายการลงทุนสู่ภูมิภาค