บีโอไอ เผยลงทุนไทยไตรมาส 2 ยังพุ่งต่อเนื่อง  นักลงทุนหลักยังเข้ามาตั้งฐานในไทยทั้งจีน ฮ่องกง ไต้หวัน ญี่ปุ่น สหรัฐ ยุโรป ดาต้าเซ็นเตอร์-เอไอ ยังดาวเด่น

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) เปิดเผยถึงแนวโน้มการลงทุนไทยไตรมาส 2/2568 ว่า สถานการณ์การลงทุนในไตรมาส 2 ยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องจากปี 2567 และไตรมาส 1 ปี 2568 โดย FDI จากผู้ลงทุนหลักยังเข้ามาตั้งฐานในไทยอย่างต่อเนื่อง ทั้งจีน ฮ่องกง ไต้หวัน ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และยุโรป โดยเฉพาะในกิจการ Data Center, Cloud Service, ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี AI, ผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ, ซัพพลายเชนของกลุ่ม PCB, อุปกรณ์โทรคมนาคมและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ของยานยนต์ รวมทั้งการพัฒนานิคมอุตสาหกรรม และการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ซึ่งเติบโตตามแนวโน้มความต้องการที่สูงขึ้น

การลงทุนตั้งฐานการผลิต เป็นการวางแผนระยะยาว ตอนนี้บริษัทชั้นนำจำนวนมาก เริ่มมองข้ามความผันผวนระยะสั้น ไปวางกลยุทธ์การลงทุนในระยะยาว โดยการกระจายความเสี่ยงและเพิ่มความยืดหยุ่นของธุรกิจ เลือกแหล่งลงทุนที่มี foundation แข็งแรง มีความมั่นคง ปลอดภัย ความเสี่ยงต่ำ และมีศักยภาพที่จะเติบโตได้ ซึ่งประเทศไทยมีปัจจัยพื้นฐานที่ดี สามารถตอบโจทย์การลงทุนในระยะยาวได้ โดยเฉพาะการใช้ไทยเป็นฐานธุรกิจหลัก เพื่อขยายตลาดไปสู่ประเทศอื่นๆ ในอาเซียน และส่งออกไปยังตลาดโลก 

แม้ระยะสั้น อาจจะมีความผันผวนรายวัน รายสัปดาห์ แต่มองในระยะยาว เรายังต้องเจอกับทั้งสงครามการค้าและสงครามเทคโนโลยี (Trade War and Tech War) ระหว่างมหาอำนาจไปอีกนาน และเราจะได้เห็นการปรับโครงสร้างซัพพลายเชนครั้งใหญ่ของบริษัทข้ามชาติ เพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มความยืดหยุ่น ปัจจุบันสหรัฐฯ และจีน มีการใช้ซัพพลายเชนร่วมกันอยู่มาก โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง แบตเตอรี่และชิ้นส่วนยานยนต์ที่ใช้เทคโนโลยีสูง รวมถึงดิจิทัลและ AI แม้จะมีความพยายามแยกห่วงโซ่ออกจากกัน แต่ในระยะสั้นคงทำไม่ได้ง่าย

สำหรับประเทศไทย ที่ผ่านมาเราเป็นส่วนหนึ่งของซัพพลายเชนของทั้งสหรัฐฯ และจีน รวมทั้งประเทศอื่นๆ เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวัน และยุโรป ท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งที่รุนแรงขึ้น ไทยมีโอกาสทำหน้าที่สะพานเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจระหว่างสองขั้วมหาอำนาจได้ แต่สำคัญที่เราต้องเตรียมตัวให้พร้อมรับโอกาสใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมบุคลากรทักษะสูง โครงสร้างพื้นฐาน พื้นที่ใหม่รองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรม ไฟฟ้าและพลังงานสะอาดที่มีราคาแข่งขันได้ น้ำที่เพียงพอ และซัพพลายเชนสำหรับอุตสาหกรรมใหม่ๆ ที่เริ่มเข้ามาตั้งฐานในประเทศไทย เช่น เซมิคอนดักเตอร์ แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCB) อุปกรณ์ Data Center แบตเตอรี่ในระดับเซลล์ ยานยนต์ไฟฟ้า และชิ้นส่วนอากาศยาน โดยต้องส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยยกระดับขีดความสามารถและเข้าไปอยู่ในซัพพลายเชนเหล่านี้ให้มากที่สุด

ขณะเดียวกัน ก็ต้องผลักดันอุตสาหกรรมที่ไทยมีพื้นฐานที่ดีอยู่แล้ว ให้เติบโตไปสู่ตลาดโลก และเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร การแพทย์และสุขภาพ เทคโนโลยีชีวภาพ และอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ถ้าทำได้ตามนี้ ประเทศไทยจะอยู่ในจุดที่แข็งแกร่ง มีความยืดหยุ่นในการรองรับสถานการณ์ต่างๆ และจะได้รับโอกาสสูงสุดจากการเปลี่ยนแปลงในโลกที่เกิดขึ้น

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles