นายปรีชา ศิภปิติพร นายกสมาคมการขายและการตลาดอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า หลังจากสถานการณ์โควิดจนถึงปี 2567 มีทรัพย์มือสองออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะทรัพย์จากธนาคารเป็นไปตามสภาวะเศรษฐกิจและตลาดอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งทรัพย์ที่ออกจากธนาคารยังขายได้เรื่อยๆ เนื่องจากตั้งราคาค่อนข้างต่ำ มีการจัดโปรโมชั่น และมีการขายผ่านนายหน้า จึงทำให้สามารถระบายได้เร็ว ประกอบกับปีนี้รัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาฯ ออกมาในส่วนของลดค่าโอนและจดจำนอง สินเชื่อซอฟต์โลน ที่ครอบคลุมทั้งบ้านใหม่และมือสองด้วย คาดว่าจะทำให้กำลังซื้อในตลาดคึกคักมากยิ่งขึ้น
ขณะที่ตลาดบ้านมือสองยังประสบกับปัญหาถูกปฎิเสธสินเชื่อหรือรีเจ็กต์เรต ใกล้กับบ้านมือหนึ่งระดับ 40-50% สำหรับบ้านราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท และกู้ได้ไม่เต็ม 100% มาตรการLTV ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังไม่ยกเลิกหรือผ่อนเปรนให้ก็มีผลกระทบเช่นกัน โดยทรัพย์มือสองจากแบงก์ อยู่ในกรุงเทพฯ น้อย ส่วนใหญ่อยู่รอบนอก ราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาท ถ้าเป็นทรัพย์มือสองทั่วไปจะกระจายในหลายพื้นที่ ซึ่งคอนโดฯ มีมากขึ้น ส่วนบ้านมีออกมาเรื่อยๆ
“จากภาวะเศรษฐกิจ มีเปลี่ยนงาน เปลี่ยนที่อยู่ หรือมีความต้องการหมุนเงิน พบว่ามีคนอยากขายมากกว่าซื้อ อย่างไรก็ดี ซึ่งบ้านมือสองยังขายได้ เพราะราคาถูกกว่าบ้านใหม่เกือบ 50% และอยู่ในทำเลสะดวก ใกล้โรงเรียน ทำให้คนซื้ออยู่เองและซื้อรีโนเวตเพื่อขายต่อ ปัจจุบันราคาขายยังไม่ตก แต่ไม่หวือหวา” นายปรีชากล่าว
นอกจากนี้ยังพบว่าในปี 2567 มีที่ดินเปล่าออกมาขายมากขึ้น เพื่อลดภาระภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ปีนี้จ่ายเต็ม 100% หากยังไม่ได้ทำประโยชน์ต้องจ่ายเพิ่มเท่าตัว ส่วนใหญ่เป็นขนาด 1 ไร่ขึ้นไป และอยู่ในทำเลที่ราคาประเมินสูง มีทั้งที่ที่ดินส่วนบุคคลและบริษัทอสังหาฯ ที่ต้องการบริหารและจัดพอร์ตใหม่ นอกจากประกาศขายแล้ว ยังมีการปล่อยเช่า
นายวิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) กล่าวว่า สภาวะตลาดบ้านมือสองในประเทศไทยมีขนาดใหญ่พอสมควร โดยจำนวนอุปทานบ้านมือสองจะมีหน่วยที่มีเสนอขาย 60% เมื่อเทียบกับอุปทานตลาดบ้านใหม่ และในแต่ละปีมีหน่วยโอนกรรมสิทธิ์มากกว่า 2 แสนหน่วย มูลค่ากว่า 470,000 ล้านบาท จึงถือบ้านมือสองมีความสำคัญต่อตลาดอสังหาฯ มาก จากที่ได้รวบรวมข้อมูลที่อยู่อาศัยมือสองทั่วประเทศที่ประกาศขายผ่านเว็บไซต์บริษัทภาคเอกชน และข้อมูลที่อยู่อาศัยมือสองของสถาบันการเงินของรัฐและเอกชน บริษัทบริหารสินทรัพย์ภาครัฐและเอกชน และกรมบังคับคดี ที่ขายผ่านเว็บไซต์ตลาดนัดบ้านมือสองพบไตรมาส 4 ปี 2566 มีประกาศขาย 150,465 หน่วย มูลค่า 999,874 ล้านบาท
สำหรับใน ปี 2567 คาดตลาดบ้านมือสองจะขยายตัว 5-10% ตามภาพรวมของตลาดที่อยู่อาศัย เป็นผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาฯ ของรัฐบาล และทิศทางดอกเบี้ยที่อาจมีการปรับตัวลดลง 0.25%-0.50% อย่างไรก็ตามตลาดบ้านมือสองยังคงมีปัจจัยลบอยู่มาก โดยเฉพาะปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยังสูง ความเข้มงวดในการพิจารณาสินเชื่อให้กลุ่มผู้มีรายได้น้อยและปานกลาง ซึ่งจะมีผลกระทบโดยตรงผู้ซื้อบ้านมือสอง คาดว่าปีนี้บ้านมือสองอาจจะมีหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ 2.3 แสนหน่วย มูลค่า 490,000 ล้านบาท