นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่าความคืบหน้าโครงการ “บ้านเพื่อคนไทย” ขณะนี้พบว่ามีประชาชนลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ จำนวน 350,000 ราย ผ่านการพิจารณาคุณสมบัติ (Pre Approve) จากธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) แล้วจำนวน 140,000 ราย ขณะที่จำนวนที่อยู่อาศัยในระยะที่ 1 จะมีประมาณ 5,700 ยูนิต
อย่างไรก็ดีเนื่องจากดีมานด์ของประชาชนมีจำนวนมากกว่าที่อยู่อาศัย ทำให้รัฐบาลอยู่ระหว่างกำหนดหลักเกณฑ์ในการจับสลากมอบสิทธิ์ โดยการจับสลากจะดำเนินการผ่านสำนักสลากกินแบ่งรัฐบาล ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญและความโปร่งใส เบื้องต้นจึงมีเป้าหมายเตรียมปิดรับลงทะเบียนในระยะที่ 1 ช่วงกลางเดือน มี.ค. นี้ เพื่อดำเนินการจับสลากสิทธิ์ในเดือน เม.ย. 2568 โดยกำลังจะปิดรับลงทะเบียนเฟสแรกเพื่อนำรายชื่อไปเตรียมจับสลาก โดยกระทรวงฯ จะสรุปผลการลงทะเบียนทั้งหมดเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในช่วงกลางเดือน มี.ค. นี้ เพื่อรับทราบในแผนพัฒนาโครงการระยะที่ 1 รวมไปถึงแผนขยายโครงการในระยะต่อไป และหลังจากผ่าน ครม. ก็จะเริ่มกระบวนการประมูลคัดเลือกผู้รับเหมาก่อสร้างโครงการทันที
ซึ่งหลังจากโครงการผ่านการพิจารณาจาก ครม. กระทรวงฯ ได้มอบให้ บริษัท เอสอาร์ที แอสเสท จำกัด (SRTA) ดำเนินการจ้างที่ปรึกษาเพื่อจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) และจัดทำร่างประกาศประกวดราคาเพื่อหาผู้รับจ้างก่อสร้างโครงการบ้านเพื่อคนไทย ระยะที่ 1 รวมทั้ง 4 พื้นที่ ประกอบด้วย พื้นที่บางซื่อ กม.11 พื้นที่ธนบุรี พื้นที่สถานีเชียงใหม่ และพื้นที่เชียงราก จังหวัดปทุมธานี คาดว่าจะก่อสร้างทันทีในปีนี้ และเร่งรัดทยอยส่งมอบที่อยู่อาศัยในปลายปี 2569
อย่างไรก็ดีปัจจุบันพบว่าปริมาณความต้องการของประชาชนที่แสดงเจตจำนงให้ความสนใจมีจำนวนมาก ถึง 30,000 – 40,000 ราย โดยเฉพาะพื้นที่เชียงใหม่ ทำให้มีแผนปรับพื้นที่บางส่วนเพิ่มรูปแบบคอนโดมิเนียมเข้าไปด้วย จากเดิมที่มีเพียงแต่รูปแบบบ้านเท่านั้น ขณะที่พื้นที่บางซื่อ กม.11 พบว่า ในปัจจุบันมีผู้ผ่านการพิจารณาคุณสมบัติจาก ธอส.จำนวน 100,000 ราย จึงจะมีการปรับแผนพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียม จำนวน 20 ชั้น
ส่วนแผนพัฒนาบ้านเพื่อคนไทยในระยะต่อไป กระทรวงฯ ยังเตรียมศึกษาที่ดินการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ตามหัวเมืองใหญ่ที่ติดแนวเส้นทางรถไฟ เพื่อนำมาพัฒนาเป็นที่อยู่อาศัยให้ประชาชนเพิ่มเติม โดยมีเป้าหมายจะพัฒนาที่อยู่อาศัยให้ประชาชนรวม 1 แสนยูนิต ซึ่งที่ดินศักยภาพอยู่ระหว่างศึกษา อาทิ จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดขอนแก่น จังหวัดชลบุรี และจังหวัดกาญจนบุรี โดยจะเปิดให้ประชาชนสามารถลงทะเบียนของสิทธิ์ได้ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ที่ ธอส.สาขาทั่วประเทศ