ประชาชนเริ่มใช้จ่าย “คนละครึ่งพลัส” วันแรกคึกคัก ผ่านไป 9 ชม. ยอดใช้จ่ายในโครงการแตะ 752 ล้าน ย้ำต้องเติมเงินเข้าแอปฯเป๋าตัง ใช้จ่ายครั้งแรก ก่อน 11 พ.ย. 68

ประชาชนเริ่มใช้จ่าย "คนละครึ่งพลัส" วันแรกคึกคัก ผ่านไป 9 ชม. ยอดใช้จ่ายในโครงการแตะ 752 ล้าน ย้ำต้องเติมเงินเข้าแอปฯเป๋าตัง ใช้จ่ายครั้งแรก ก่อน 11 พ.ย. 68

นายวินิจ วิเศษสุวรรณภูมิ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า วันพุธที่ 29 ตุลาคม 2568 ประชาชนที่ได้รับสิทธิโครงการคนละครึ่ง พลัส (โครงการฯ) สามารถเริ่มใช้จ่ายได้เป็นวันแรกกับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ โดยตั้งแต่เวลา 06.00 น. มีประชาชนให้ความสนใจใช้จ่ายผ่านโครงการฯ เป็นจำนวนมาก และ ณ เวลา 12.30 น. มีผู้ใช้จ่ายผ่านโครงการฯ สำเร็จแล้วกว่า 2.49 ล้านราย ยอดใช้จ่ายรวมกว่า 501.11 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นเงินที่ประชาชนจ่ายจำนวน 252.40 ล้านบาท และเงินที่รัฐร่วมจ่ายจำนวน 248.71 ล้านบาท

และล่าสุด ณ เวลา 15.00 น. มีผู้ใช้จ่ายผ่านโครงการคนละครึ่ง พลัส สำเร็จแล้ว 3.60 ล้านราย ยอดใช้จ่ายรวมกว่า 752.25 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นเงินที่ประชาชนจ่ายจำนวน 379.44 ล้านบาท และเงินที่รัฐร่วมจ่ายจำนวน 372.80 ล้านบาท

ทั้งนี้ ประชาชนสามารถใช้จ่ายกับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ ได้ตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม 2568 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2568 ตั้งแต่เวลา 06.00 – 23.00 น. ผ่าน G-Wallet ในแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” โดยในแต่ละวันไม่จำเป็นต้องใช้จ่ายให้เต็มสิทธิ 200 บาท

โฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวย้ำว่า ร้านค้าที่สนใจเข้าร่วมโครงการฯ ยังคงสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ ได้อย่างต่อเนื่องจนถึงวันที่ 19 ธันวาคม 2568 โดยร้านค้าที่ประสงค์จะขายอาหารและเครื่องดื่มผ่านผู้ให้บริการระบบขนส่งอาหาร (Food Delivery Platform) สามารถเลือกเชื่อมต่อกับผู้ให้บริการ Food Delivery Platform ที่ได้รับอนุมัติเข้าร่วมโครงการฯ ได้ 1 ราย ผ่านแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ซึ่งจะเปิดให้ประชาชนสามารถใช้จ่ายเพื่อซื้ออาหารและเครื่องดื่มจากร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการฯผ่านผู้ให้บริการระบบขนส่งอาหาร (Food Delivery Platform) ได้ตั้งแต่วันที่ 7 พฤศจิกายน 2568 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2568 ตั้งแต่เวลา 06.00 – 21.00 น. ผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง”

นอกจากนี้ ยังเน้นย้ำว่า ประชาชนจะต้องเริ่มใช้ครั้งแรกภายในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 เวลา 23.00 น. ซึ่งหากพ้นระยะเวลาดังกล่าว จะถือว่าไม่ประสงค์เข้าร่วมโครงการฯ และถูกตัดสิทธิในโครงการฯ และสำหรับผู้ประกอบการร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ จะไม่มีการนำส่งข้อมูลรายได้ของร้านค้าให้แก่กรมสรรพากรแต่อย่างใด

ขณะเดียวกัน กระทรวงการคลังร่วมกับกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (Central Investigation Bureau: CIB) แถลงเปิดปฏิบัติการทลายกลโกงร้านค้าที่โฆษณาเชิญชวนประชาชนที่ได้รับสิทธิโครงการฯ ให้นำวงเงินตามสิทธิมาแลกเป็นเงินสด โดยมีส่วนต่างที่ต้องหักให้ร้านค้า ซึ่งไม่ก่อให้เกิดการซื้อขายสินค้าหรือบริการจริงตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ โดยได้จับกุมตัวผู้ต้องหาจำนวน 3 รายเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

พร้อมทั้งเน้นกำชับเตือนประชาชนและร้านค้าห้ามซื้อขายสิทธิหรือใช้สิทธิโครงการฯ โดยไม่มีการซื้อขายจริง และโปรดอย่าหลงเชื่อการเชิญชวนให้แลกวงเงินสิทธิโครงการฯ เป็นเงินสด เนื่องจากเป็นการนำข้อมูลเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ (ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ) ทั้งนี้ หากมีการแลกวงเงินสิทธิโครงการฯ เป็นเงินสดสำเร็จ จะถือเป็นความผิดทางอาญาฐานร่วมกันฉ้อโกง ทั้งผู้แลกและผู้รับแลก (ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ) ตลอดจนต้องคืนเงินให้แก่รัฐบาลทั้งจำนวนที่เคยได้รับไป รวมถึงอาจถูกระงับสิทธิไม่ให้เข้าร่วมโครงการอื่นของรัฐบาลอีกด้วย

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles