ประธานธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด นายเจอโรม พาวเวลล์ กล่าวว่าภาวะสิ่งแวดล้อมและเงื่อนไขของเศรษฐกิจโลกเปลี่ยนแปลงไปมากนับตั้งแต่ปี 2020 ซึ่งเป็นปีที่เกิดวิกฤตการณ์โรคระบาด โควิด-19 ไปทั่วโลก หรือในช่วง 5 ปีผ่านมา ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงอย่างมากมายทั้งทางเศรษฐกิจและนโยบาย ซึ่งนำไปสู่การเกิดภาวะซัพพลายช็อคที่มีมีแนวโน้มชัดเจนว่าเกิดบ่อยมากขึ้นและเกิดอย่างต่อเนื่องขึ้น จึงเป็นไปได้ว่าอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของธนาคารกลางสหรัฐจะเพิ่มสูงขึ้นในระยะยาว
ในช่วงห้าปีที่ผ่านมาซึ่งเกิดวิกฤตการณ์โรคระบาด โควิด-19 นั้น ภาวะเงินเฟ้อพุ่งทะยานสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ทำให้ต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ ถึงแม้ว่ามุมมองต่อภาวะเงินเฟ้อของสหรัฐอเมริกาในระยะยาวจะเป็นไปตามเป้าหมายที่ธนาคารกลางสหรัฐคาดการณ์ในระดับ 2% ก็ตาม แต่ยุคที่จะได้เห็นอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวลดต่ำลงเข้าใกล้เกือบ 0% ดูเหมือนจะไม่เกิดขึ้นในเร็วๆ นี้แน่ ครั้งสุดท้ายที่ธนาคารกลางสหรัฐลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นลงใกล้เคียง 0% เป็นระยะเวลายาวนานถึง 7 ปีติดต่อกันนั้น เกิดขึ้นจากวิกฤตเศรษฐกิจการเงินในสหรัฐอเมริกาในปี 2008
ถึงแม้ว่าประธานธนาคารกลางสหรัฐฯจะไม่ได้ระบุชัดเจนว่านโยบายด้านภาษีและการค้าของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาในปัจจุบันก็ตาม แต่ความเป็นไปได้ของการใช้นโยบายภาษีจะมีผลต่อ การเติบโตทางเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาจะชะลอตัวลงในขณะเดียวกันไปเพิ่มอัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม เป็นสิ่งที่ยากลำบากมากในการที่จะประเมินขนาดของผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับทั้งเงินเฟ้อ และอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาเจรจาข้อตกลงภาษีและการค้ากับจีนและตัดสินใจลดอัตราภาษีต่างตอบแทนลงเป็นการชั่วคราวก็ตาม