ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กระทรวงพาณิชย์ โดยองค์การคลังสินค้า (อคส.) เปิดประมูลข้าว 10 ปี ในโครงการรับจำนำข้าว จำนวน 1.5 หมื่นตัน โดยบริษัท “วีเอท อินเตอร์เทรดดิ้ง” ชนะการประมูลโดยให้ราคาสูงถึงกิโลกรัมละ 19.073 บาท หรือมูลค่ากว่า 286 ล้านบาท ไปเมื่อช่วงต้นเดือนมิ.ย. แต่จนถึงปัจจุบันยังไม่สามารถประกาศผลการประมูลได้
ล่าสุดมีข่าวเผยแพร่คณะกรรมการตรวจสอบคุณสมบัติผู้ซื้อข้าว ที่นายภูมิธรรม เวชยชัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ แต่งตั้งตรวจสอบพบว่าผู้เสนอซื้อข้าว จำนวน 3 ราย เป็นผู้ขาดคุณสมบัติผู้เข้าประมูลข้าว คือ บริษัท วี เอท อินเตอร์เทรดดิ้ง จำกัด บริษัท ธนสรร ไรซ์ จำกัด และบริษัท เอส. เอส. เอ็ม. อาร์. การเกษตร จำกัด นั้น แหล่งข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ระบุว่า รู้สึกแปลกใจว่าข่าวผลตรวจสอบคุณสมบัติผู้ยื่นประมูลข้าวสารค้างเก่ารัฐ 10 ปี จำนวน 15,000 ตันใน 6 รายที่ให้ทางองค์การคลังสินค้าหรือ อคส.ไปทำการตรวจสอบเชิงลึกทุกด้านทำไมถึงหลุดออกสู่สาธารณชนทั้งที่ควรเป็นความลับและควรดำเนินการให้จบทุกขั้นตอน เพื่อรายงานผลตรวจสอบให้นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ทราบก่อน จึงถือได้ว่าน่าจะทำเป็นกระบวนการที่จะพยายามให้เกิดการล้มประมูลข้าวสารตอกรัฐในครั้งนี้ให้ได้และบริษัทที่ยื่นประมูลบางรายต้องการที่จะขอหลักประกันยื่นซองประมูลคืน
อย่างไรก็ตาม เมื่อข่าวผลตรวจสอบหลุดออกมาเช่นนี้ โดยทั้ง 3 รายประกอบด้วย บริษัท วี เอท อินเตอร์เทรดดิ้ง จำกัดบริษัท ธนสรร ไรซ์ จำกัด และบริษัท เอส. เอส. เอ็ม. อาร์. การเกษตร จำกัดถือว่าคุณสมบัติหลังตรวจสอบเชิงลึกแล้วไม่ผ่านที่จะเป็นผู้ชนะประมูล โดยเฉพาะบริษัท วี เอท อินเตอร์เทรดดิ้ง จำกัดที่เสนอราคายื่นซองประมูลมากสุดโดยให้ที่ 19.07 บาทต่อ กก หรือกว่า 286 ล้านบาท และอีก 2 บริษัทดังกล่าวที่มีส่วนเกี่ยวข้องคดีค้างเก่ากับนิติบุคคล ซึ่งเป็นผู้ที่ได้ทำ ความเสียหายให้แก่ อคส. และถูก อคส. ฟ้องคดีเรียกค่าเสียหายตามสัญญารับฝากเก็บรักษา มันเส้น ข้าวสาร และสัญญาจ้างตรวจสอบ และรับผิดชอบคุณภาพข้าว ซึ่งเป็นคดีค้างเก่ายังอยู่ในการพิจารณาของศาลปกครอง
แม้จะบริษัททั้ 3 รายไม่ใช่เป็นคู่กรณีโดยตรง แต่ก็มีความเชื่อมโยงทางอ้อมและเกี่ยวพันธ์กัน ดังนั้น จึงมองว่าไม่สมควรที่จะเดินหน้าเจรจาต่อรองและควรตัดสิทธิยื่นซองประมูลในครั้งนี้
โดยขั้นตอนต่อไปคงต้องมีการพิจารณาในรายละเอียดว่าเมื่อคุณสมบัติไม่ผ่านและมีส่วนเกี่ยวพันธ์คดีค้างเก่า โดยเมื่อถูกตัดสิทธิไปแล้วจะต้องคืนหลักประกันให้แต่ละรายหรือไม่ และความผิดมีหรือไม่ เพราะตามกรอบและหน้าที่ของกระทรวงพาณิชย์เมื่อเห็นว่าแต่ละรายเมื่อตรวจสอบแล้วคุณสมบัติไม่ผ่านแม้จะเป็นผู้เสนอราคาข้าวสารสูง แต่เมื่อผลตรวจสอบออกมาคุณสมบัติไม่ผ่านก็ต้องคืนหลักประกันให้ แต่ความผิดที่เกี่ยวข้องและเชื่อมโยงหน่วยงานอื่นๆ ที่ไม่ใช่กระทรวงพาณิชย์จะไปดำเนินการตรวจสอบกันอีกครั้งต่อไปยอมรับว่าการประมูลข้าวสารค้างเก่าครั้งนี้ แม้ผลจะออกมาว่ามีผู้สนใจไม่น้อยและยังให้ราคาข้าวสารในล็อตนี้เกินกว่า 15-19 บาทต่อ กก แสดงให้เห็นว่าข้าวสารจำนวนนี้ยังมีคุณภาพที่ดีอยู่แม้จะเก็บไว้นานเกิน 10 ปี
อย่างไรก็ตามกระทรวงพาณิชย์ไม่ต้องการปล่อยผ่าน จึงได้มีการตรวจสอบเชิงลึกจึงได้รู้ที่มาที่ไปของบริษัทที่เข้าร่วมประมูลว่ามีพฤติกรรมอย่างไร อีกทั้งตั้งแต่ก่อนนำมาเปิดประมูลก็มีความพยายามของบางกลุ่มไม่ต้องการให้เปิดประมูลเพราะจะมีการเปรียบเทียบข้าวในสมัย คสช.ที่นำข้าวสารมาประมูลได้เพียงโลละ 5 บาทเท่านั้น แต่ทำไม่ตอนนี้ถึงได้ราคาถึงกว่า 15-19 บาทต่อ กก.
“ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไรจะเป็นประเด็นการเมืองหรือไม่ กระทรวงพาณิชย์จะไม่มีการล้มประมูล แต่จะพยายามต่อรองราคาข้าวอีก 3 รายที่เหลือให้ได้ราคาดีที่สุดต่อไป”แหล่งข่าวกล่าว
สำหรับ 3 รายที่เหลือและมีคุณสมบัติครบถ้วนที่ อคส.จะดำเนินการต่อรองให้ได้ราคาที่ดีที่สุดเป็นประโยนช์ต่อประเทศชาตินั้น ได้แก่ บริษัท สหธัญ จังหวัดนครปฐม บริษัท บีเอ็นเค การเกษตร 2024 จังหวัดนครสวรรค์ บริษัท ทรัพย์แสงทอง ไรซ์ จากจังหวัดสุพรรณบุรี ที่ให้ราคาเฉลี่ยข้าวสารค้างเก่า 10 ปี ตั้งแต่ 12 บาท กก ขึ้นไป โดยการต่อรองราคาในครั้งนี้ จะให้ได้ราคาสูงกว่าที่ทั้ง 3 รายได้นำเสนอมาในช่วงแรก แต่จะได้เพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหนอยู่ที่คณะกรรมการต่อรองราคาต่อไป