ดัชนี SET Index ตลาดหุ้นไทยปิดที่ระดับ 1,376.28 จุด ปรับขึ้น 8.13 จุด หรือ+0.59% ด้วยมูลค่าซื้อขายสุทธิ 39,308.57 ล้านบาท โดยตลาดปรับตัวขึ้นได้ดีแม้วอลุ่มยังไม่หนาแน่น เป็นไปตามทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นภูมิภาค และปัจจัยบวกจากราคาน้ำมันดิบสูงขึ้นหนุนกลุ่มพลังงาน และนโยบายฟรีวีซ่าไทย-จีนดีต่อกลุ่มท่องเที่ยว
อย่างไรก็ตาม การซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีแกว่งตัวขึ้น โดยดัชนีทำจุดสูงสุดที่ 1,379.60 จุด และทำจุดต่ำสุด 1,366.84 จุด
ส่วนตลาด SET 50 ปิด 841.30 จุด เพิ่มขึ้น +4.44 หรือ +0.53% มูลค่าการซื้อขาย 23,093.41 ล้านบาท และตลาด mai ปิดที่ 410.86 จุด ลดลง +2.04 หรือ +0.50% มูลค่าซื้อขาย 1,186.85 ล้านบาท
ส่วน 3 หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด ได้แก่
1. AOT มูลค่าการซื้อขาย 1,825.04 ล้านบาท ปิดที่ 60.75 บาท เพิ่มขึ้น 1.25 บาท
2. KBANK มูลค่าการซื้อขาย 1,654.02 ล้านบาท ปิดที่ 122.00 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง
3. DELTA มูลค่าการซื้อขาย 1,594.95 ล้านบาท ปิดที่ 79.00 บาท ลดลง 3.00 บาท
นายชาญชัย พันทาธนากิจ ผู้อำนวยการสายงานวิจัย บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างดีตามตลาดหุ้นภูมิภาคที่ส่วนใหญ่ปิดในแดนบวก หลังจากตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้และตลาดหลักทรัพย์เซินเจิ้นประกาศระงับการทำ Short Selling หรือขายชอร์ตหุ้นบางกลุ่ม ทำให้ตลาดหุ้นฮ่องกงบวก 0.8%
ซึ่งตลาดหุ้นไทยยังได้แรงหนุนหลักจากราคาน้ำมันดิบโลกปรับตัวขึ้นหนุนกลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะกลุ่ม PTT และอีกแรงหนุนจากการที่รัฐบาลไทยและจีนร่วมเซ็นข้อตกลงฟรีวีซ่าระหว่างกัน ส่งผลให้หุ้นกลุ่ม่ท่องเที่ยวขึ้นยกแผง อาทิ AOT AWC MINT CPN CPALL
สำหรับแนวโน้มการลงทุนในวันพรุ่งนี้ คาดว่าดัชนีน่าจะค่อยๆ ขยับกรอบขึ้น จากวันนี้ที่มูลค่าการซื้อขายไม่ได้มากอาจจะปรับตัวขึ้นได้ไม่แรง และในสัปดาห์นี้ยังมีปัจจัยความไม่แน่นอน ได้แก่ การเมืองในประเทศ ในวันที่ 31 ม.ค.ศาลรัฐธรรมนูญนัดอ่านคำวินิจฉัยคดีของพรรคก้าวไกลที่ผลักดันแก้ไขมาตรา 112 เข้าข่ายล้มล้างการปกครองหรือไม่ และเช้าวันพฤหัสบดีที่ 1 ก.พ. จะทราบผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) โดยให้แนวรับที่ 1,370 จุด แนวต้านที่ 1,385 จุด
