ตลาดหลักทรัพย์ นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา รายงานว่า เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2024 (ตามเวลาในสหรัฐ) ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดที่ระดับ 37,592 จุด -118 จุด หรือ -0.31% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ระดับ 4,783 จุด +3 จุด หรือ +0.08% และดัชนีหุ้นนาสแดค ปิดที่ 14,972 จุด +2 จุด หรือ +0.02% ในสัปดาห์นี้ ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ปิดเพิ่มขึ้น +0.34%, +1.84% และ +3.09% ตามลำดับ
ในเดือนธันวาคมปี 2023 ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ปิดสูงขึ้น +4.89%, +4.72% และ +6.11% ตามลำดับ สอดรับกับในไตรมาสสุดท้ายของปี 2023 ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ปิดสูงขึ้น +12.54%, +11.55% และ +14.19% ตามลำดับ ขณะที่ในปี 2023 ผ่านไป ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ปิดสูงขึ้น +13.77%, +24.58% และ +44.22% ตามลำดับ โดยเฉพาะดัชนีหุ้นนาสแดคกำลังทำสถิติดัชนีหุ้นรายปีปิดพุ่งมากที่สุดในรอบ 20 ปี หรือตั้งแต่ปี 2003 เป็นต้นมา ซึ่งในปีนั้น ดัชนีพุ่งกระฉูดถึง +50.01%
สาเหตุจากตัวเลขเงินเฟ้อผู้ผลิตสินค้าเดือนธันวาคม 2023 ในสหรัฐอเมริกา ลดลงเกินคาดหมาย อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังคงผิดหวังกับตัวเลขภาวะเงินเฟ้อเดือนธันวาคม 2023 ในสหรัฐ หลังจากตัวเลขเงินเฟ้อทั่วไปเพิ่มขึ้นสูงกว่าที่คาดไว้ทั้งเทียบเดือนก่อนหน้านั้น โดยเพิ่มขึ้น 0.3% มากกว่าที่คาดไว้ที่ 0.2% และเมื่อเทียบช่วงเดียวกันในปีผ่านมา เพิ่มขึ้น 3.4% มากกว่าที่คาดไว้ที่ 3.2% ซึ่งทำสถิติเงินเฟ้อสูงขึ้นในรอบ 3 เดือน สอดรับกับตัวเลขเงินเฟ้อขั้นพื้นฐานเมื่อเทียบช่วงเดียวกันในปีผ่านมา เพิ่มขึ้น 3.9% มากกว่าที่คาดไว้ที่ 3.8% อย่างไรก็ตาม เทียบเดือนก่อนหน้านั้น พบว่าเพิ่มขึ้น 0.3% ซึ่งเท่ากับที่คาดการณ์ไว้ ภาวะเงินเฟ้อดังกล่าวทำให้เกิดความกังวลครั้งใหม่ว่าแนวโน้มที่จะเห็นการลดดอกเบี้ยระยะสั้นของธนาคารกลางสหรัฐอาจไม่ชัดเจน และล่าช้าออกไปกว่าที่คาดการณ์ไว้
นอกจากนี้ ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกาอายุ 10 ปี พลิกกลับสูงขึ้นทันที และขึ้นสูงเหนือระดับ 4% ครั้งใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยอยู่ที่ระดับ 4.103% และเป็นครั้งแรกของปี 2024 นี้ รวมถึงค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง
ทั้งนึ้ ตัวชี้วัดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่เรียกว่าเฟดวอช์ท พบว่ามีโอกาสอยู่ที่ 80% จากเดิมที่ 70% ที่เฟดจะลดดอกเบี้ยดังกล่าวครั้งแรก 0.25% ในเดือนมีนาคมปี 2024