นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวให้สัมภาษณ์กับบลูมเบิร์ก ซึ่งเป็นสำนักข่าวเศรษฐกิจชื่อดังในสหรัฐอเมริกา ว่าเป้าหมายเงินเฟ้อในปัจจุบันมีความเหมาะสมกับสถานการณ์เศรษฐกิจไทย และก็เป็นเป้าหมายที่ใช้กำกับดูแลได้ดี ความเสี่ยงของการปรับเพิ่มเป้าหมายเงินเฟ้อที่กำหนดไว้ระหว่าง 1% ถึง 3% คือ จะทำให้เงินเฟ้อแท้จริงเริ่มจะขยับเพิ่มขึ้น ถ้าหากปรับเปลี่ยนเป้าหมายเงินเฟ้อดังกล่าว จะทำให้เป็นการเพิ่มต้นทุนการกู้ยืมการเงินสำหรับรัฐบาล และประเทศในภาพรวมทั้งหมด
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2567 ผ่านมา นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ประชุมหารือกับนายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ที่กระทรวงการคลัง โดยใช้เวลาหารือราว 2 ชั่วโมง และได้กล่าวในเวลาต่อมาว่า เป็นการพูดคุยเพื่อทำความเข้าใจตรงกันในเรื่องนโยบายการเงิน ใน 2 เรื่อง ซึ่ง 1 ใน 2 เรื่อง คือ การกำหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เป็นเรื่องที่ธนาคารแห่งประเทศไทย และคณะกรรมการนโยบายการเงิน เป็นผู้กำหนดโดยใช้เครื่องมือในการวิเคราะห์ เพื่อดำเนินนโยบายตามกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อที่ตกลงกันไว้ 1-3% ส่วนปีนี้ จะปรับกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อหรือไม่นั้น ต้องคุยกันอีกครั้งเพื่อหาข้อยุติ
ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวต่อไปว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยมีความสามารถสูงในการรับมือระดับอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทที่เคลื่อนไหวในปัจจุบันมากกว่าในช่วงเวลาที่ผ่านมา ซึ่งเมื่อเวลา 11.05 น. ตามเวลาในไทย เงินบาทเทียบเงินดอลลาร์สหรัฐเคลื่อนไหวที่ระดับ 36.8050 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ หลังจากเมื่อวานนี้ เงินบาทร่วงอ่อนค่าลงมาก
สำหรับปัญหาหนี้ครัวเรือนไทยที่อยู่ในระดับสูงในปัจจุบันนั้น ปัญหานี้จะยังไม่สามารถขจัดผ่านพ้นไปได้อย่างรวดเร็วแน่นอน ปัญหาหนี้ครัวเรือนระดับสูงไม่ต่างอะไรจากโรคเรื้อรังมากกว่าที่จะเป็นโรคเจ็บป่วยรุนแรง ภาวะหนี้ครัวเรือนดูเหมือนจะยังคงมีอยู่ต่อเนื่องไปอีกระยะยาว และกลายเป็นความยากลำบากที่จะแก้ไขปัญหานี้ แต่ไม่ใช่จะกลายเป็นการนำไปสู่การเกิดวิกฤต
ทั้งนี้ นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวกับสื่อต่างประเทศอย่างบลูมเบิร์ก โดยยอมรับว่า จะไม่ต่ออายุเพื่ออยู่ในตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยในวาระที่ 2 เนื่องจากมีอายุใกล้วัยเกษียณ