นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) ระบุว่า จากความพยายามของรัฐบาลที่ต้องการยกระดับภาครัฐของไทยไปสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัล ซึ่งมีหัวใจสำคัญ คือ มีการบูรณาการระหว่างหน่วยงาน มีการทำงานโดยมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง และขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และอำนวยความสะดวกในการให้บริการประชาชน ซึ่งหลักการดังกล่าวทั้งหมดนี้ สอดรับกับนโยบายของกระทรวงพาณิชย์ที่มุ่งหวังในการสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในระบบราชการ อันเป็นหนึ่งในเป้าหมายของกระทรวงพาณิชย์
ปัจจุบัน แม้จะมีการบูรณาการโดยเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานบ้างแล้วก็ตาม แต่ยังพบว่าหากประชาชนหรือภาคธุรกิจต้องการขออนุญาต หรือทำธุรกรรมประเภทต่างๆ จำเป็นต้องไปขอเอกสารหลักฐานจากหน่วยงานราชการหลายแห่ง ทำให้ต้องเสียเวลาเดินทางและเสียค่าใช้จ่าย นอกจากนี้ หน่วยงานที่ให้บริการก็จำเป็นต้องผลิตเอกสารในรูปแบบกระดาษ ต้องมีข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่เพื่อรองรับการบริการให้เพียงพอ ทำให้เกิดความล่าช้า บางหน่วยงานอาจจำเป็นต้องแก้ปัญหาด้วยการเพิ่มจำนวนเจ้าหน้าที่ให้บริการ ซึ่งทำให้กำลังคนภาคราชการในบางหน่วยงานมีขนาดใหญ่เกินความจำเป็น จึงควรมีการปรับปรุงระบบการให้บริการประชาชนด้วยการนำเทคโนโลยีมาใช้แก้ปัญหาดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม แม้หน่วยงานต่างๆ จะมีการนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาปรับใช้กับการให้บริการประชาชน ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการมากขึ้นแล้วก็ตาม แต่ยังคงมีความจำเป็นต้องเพิ่มคุณภาพของการบูรณาการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานมากขึ้น โดยหากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนมีข้อมูลที่เชื่อมต่อกันอย่างสมบูรณ์ ก็จะสามารถยกระดับการให้บริการประชาชนขึ้นไปได้อีกมาก แต่อุปสรรคในการพัฒนาคือ หน่วยงานที่เป็นเจ้าของข้อมูลอาจไม่ต้องการที่จะเปิดเผยหรือแบ่งปันข้อมูลของตนเองจากความกังวลเรื่องความปลอดภัยของข้อมูล เกรงว่าหน่วยงานที่ร่วมใช้ข้อมูลจะมีระดับการรักษาความปลอดภัยข้อมูลที่ไม่เพียงพอ และ mindset ที่จะสูญเสียบทบาทความสำคัญของหน่วยงานหากนำข้อมูลไปให้หน่วยงานอื่นใช้ประโยชน์ หน่วยงานผู้ใช้ข้อมูลยังคงเคยชินกับการตรวจสอบเอกสารในรูปแบบกระดาษ ซึ่งจะรู้สึกถูกต้องและปลอดภัยมากกว่า ใช้ระบบการเก็บข้อมูลและรูปแบบของข้อมูลมาตรฐานที่แตกต่างกัน ทำให้การเชื่อมต่อข้อมูลยังไม่มีประสิทธิภาพมากนัก ส่งผลให้การทำงานมีลักษณะทำงานแบบต่างคนต่างทำ ยังขาดการบูรณาการการใช้ประโยชน์จากการเชื่อมข้อมูลระหว่างกัน ซึ่งยังมีช่องว่างสำหรับภาครัฐที่จะสามารถปรับปรุงระบบงานบริการประชาชนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
นายพูนพงษ์กล่าวว่า ตัวอย่างสำคัญที่จะได้รับประโยชน์จากการบูรณาการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานราชการและสถาบันการเงิน ได้แก่ นิติบุคคล ห้างหุ้นส่วน หรือบริษัทที่จดทะเบียนไว้กับกระทรวงพาณิชย์เกือบ 2 ล้านราย หากนิติบุคคลเหล่านี้ต้องไปติดต่องานกับหน่วยงานราชการอื่น หรือสถาบันการเงินต่างๆ ภายหลังการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจแล้ว โดยที่ผ่านมาต้องมาขอหนังสือรับรองและสำเนาเอกสาร เพื่อไปแสดงให้กับหน่วยงานต่างๆ ในรูปแบบเอกสารกระดาษ โดยหากมีการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างกันอย่างจริงจังภายใต้ความถูกต้องที่กฎหมายกำหนด จะช่วยอำนวยความสะดวกโดยลดขั้นตอน ลดระยะเวลาให้กับหน่วยงานราชการเจ้าของข้อมูล หน่วยงานผู้ใช้ข้อมูลและภาคธุรกิจ หรือผู้ประกอบการที่ต้องติดต่อกับหน่วยงานต่างๆ รวมถึงประหยัดค่าใช้จ่ายในส่วนของค่าธรรมเนียมต่างๆ ที่ภาคเอกชนต้องจ่ายปีละกว่า 750 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาติดต่อราชการ ตลอดจนสามารถลดการใช้กระดาษกว่า 15 ล้านแผ่นต่อปี ซึ่งจะนำไปสู่การทำงานของภาครัฐในส่วนการให้บริการประชาชนที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น