ในการประชุมหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 4/2568 ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานและในครั้งนี้กระทรวงพาณิชย์เป็นเจ้าภาพ ณ ห้องบุรฉัตรไชยากร ชั้น 4 สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ได้รายงานสถานการณ์การส่งออกของไทยในช่วงปี 2567-2568 มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในเดือนมีนาคม 2568 ที่มีมูลค่าการส่งออกสูงถึง 29,548 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ถือเป็นระดับสูงสุดในประวัติการณ์ ขยายตัวเพิ่มขึ้นถึง 17.8% และเป็นการขยายตัวต่อเนื่องติดต่อกันเป็นเดือนที่ 9
กระทรวงพาณิชย์ ยังได้เตรียมแนวทางรับมือกับความท้าทายของบริบทโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาองค์กร เพื่อสามารถให้บริการประชาชนในรูปแบบดิจิทัลอย่างครบวงจร รวมทั้งภัยคุกคามจากนโยบายการค้าของประเทศมหาอำนาจที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก
นายวุฒิไกรฯ เปิดเผยว่า ในด้านความท้าทายระหว่างประเทศได้เตรียมความพร้อมในการรับมือกับนโยบายการค้าของสหรัฐอเมริกา โดยได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เริ่มเข้ารับตำแหน่ง โดยนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้มีการแต่งตั้งคณะทำงานนโยบายการค้าสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2568 โดยมีปลัดกระทรวงพาณิชย์เป็นประธาน เพื่อดำเนินงานเชิงรุกในการติดตามสถานการณ์ วิเคราะห์ผลกระทบ และจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในรูปแบบองค์รวม (Holistic Approach) ซึ่งในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ได้จัดคณะผู้แทนไทยเดินทางเยือนสหรัฐอเมริกา เพื่อหารือกับทั้งภาครัฐและเอกชนของสหรัฐฯ โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกัน รวมถึงรับฟังปัญหาและข้อกังวลของภาคเอกชน ตลอดจนชี้แจงจุดยืนของไทยอย่างเป็นทางการ และยังได้บูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งมีการประชุมหารือกับคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 ฝ่าย (กกร.) เพื่อรับฟังข้อเสนอแนะและวางท่าทีร่วมกันในการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง เพื่อเร่งพิจารณาแนวทางการแก้ไขอุปสรรคทางการค้าร่วมกัน
อีกทั้งยังได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนากลไกการขับเคลื่อนเศรษฐกิจการค้าด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยเฉพาะการนำระบบดิจิทัลมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน อาทิ การใช้ระบบสารบัญอิเล็กทรอนิกส์ในการรับ-ส่งเอกสารภายในและภายนอกหน่วยงาน ซึ่งส่งผลให้สามารถลดการใช้กระดาษได้กว่า 5,000 รีมต่อปี และลดการปล่อยคาร์บอนในกระบวนการทำงานได้มากกว่า 26 ตันต่อปี ถือเป็นก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนหน่วยงานสู่ระบบราชการสีเขียว (Green Government)
และยังมีแผนเปิดตัว “Super App” ซึ่งจะรวบรวมบริการของกระทรวงพาณิชย์ทั้งหมดไว้ในแอปพลิเคชันเดียว เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงข้อมูลและบริการได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว ช่วยลดขั้นตอนและเวลาในการติดต่อกับภาครัฐ ถือเป็นการยกระดับการให้บริการของภาครัฐไปอีกขั้น รวมถึงเปิดตัวแอปพลิเคชัน “MOC Go” ซึ่งจะเป็นเครื่องมือสำคัญ ในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเจ้าหน้าที่ โดยบูรณาการข้อมูลจากหลายหน่วยงาน เพื่อให้สามารถติดตามสถานะของผู้ประกอบการที่เข้ามาใช้บริการได้แบบเรียลไทม์ อีกทั้งยังสามารถเชื่อมโยงข้อมูลเพื่อจับคู่ทางการค้าระหว่างผู้ประกอบการไทยกับตลาดต่างประเทศได้อย่างรวดเร็ว ผ่านระบบ Generative AI ที่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก ตอบคำถามเชิงกลยุทธ์ และช่วยในการตัดสินใจได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพ