นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า “ปี 2568 กรมพัฒนาธุรกิจการค้าให้ความสำคัญกับโครงการนำไม้ยืนต้นมาเป็นหลักประกันทางธุรกิจมาเป็นลำดับต้น โดยได้ร่วมลงนามบันทึกความร่วมมือว่าด้วยการพัฒนาระบบจดทะเบียนสัญญาหลักประกันทางธุรกิจแบบ Host to Host และการส่งเสริมการใช้ไม้ยืนต้นเป็นหลักประกันทางธุรกิจ กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 เพื่อพัฒนาระบบรองรับการจดทะเบียนสัญญาหลักประกันแบบ Host to Host เพิ่มความรวดเร็วในการให้บริการ และส่งเสริมให้ผู้ประกอบการ SME และเกษตรกรใช้ไม้ยืนต้นมาเป็นหลักประกันทางธุรกิจ ซึ่งถือเป็นปีที่กรมฯ ทำงานอย่างหนักเพื่อให้เกษตรกรและ SME สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้โดยง่าย สะดวก และรวดเร็ว รวมถึง สร้างบรรทัดฐานการขอสินเชื่อรูปแบบใหม่ที่มี ‘ไม้ยืนต้น’ ก็สามารถต่อยอดนำไปกู้เงินกับสถาบันการเงินได้ ซึ่งช่วยแก้เพนพ้อยท์การเข้าถึงแหล่งเงินทุนของเกษตรกร และ SME รายย่อยอย่างเป็นรูปธรรม และบรรลุวัตถุประสงค์ตามเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยหลักประกันทางธุรกิจได้อย่างตรงจุดที่สุด
ตลอดการลงพื้นที่ 4 ภาค 4 นคร ประกอบด้วย จ.นครสวรรค์ นครพนม นครนายก และนครศรีธรรมราช กรมฯ ได้ร่วมกับ ธ.ก.ส. ได้ให้ความรู้แก่เกษตรกร รวมกว่า 800 ราย ได้ทราบถึงกฎหมายว่าด้วยหลักประกันทางธุรกิจ ที่เน้นการนำไม้ยืนต้นมาเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันการขอสินเชื่อกับสถาบันการเงินโดยไม่ต้องตัดต้นไม้ขาย เป็นจุดมุ่งหมายหลักที่ต้องการให้เข้าใจถึงกระบวนการเข้าถึงสินเชื่อโดยมีต้นไม้เป็นสื่อกลาง มีการสาธิตประเมินมูลค่าต้นไม้ทำให้ทราบถึงมูลค่าในเบื้องต้น ไม่เพียงเท่านั้น ยังให้ความรู้เพิ่มเติมถึงคุณประโยชน์หรือมูลค่าเพิ่มของไม้ยืนต้นเรื่องอื่นๆ เช่น คาร์บอนเครดิต ซึ่งจะเป็นสินค้าอนาคตที่เป็นผลพลอยได้จากการปลูกไม้ยืนต้น และเป็นที่ต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ เมื่อเกษตรกรเข้าใจถึงความสำคัญของต้นไม้อย่างถ่องแท้ก็จะสามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากต้นไม้นั้นได้อย่างต่อเนื่อง ผนวกกับการใช้ประโยชน์จากกฎหมายว่าด้วยหลักประกันทางธุรกิจ ก็จะยิ่งช่วยให้ไม้ยืนต้นที่ปลูกเป็นมากกว่าต้นไม้ที่ให้เพียงร่มเงาหรือผลิตออกซิเจนเท่านั้น แต่จะเป็นต้นไม้ที่ช่วยสนับสนุนการดำเนินชีวิตให้มีความมั่นคงมากขึ้น
อธิบดีอรมน กล่าวต่อว่า ดีใจที่เห็นเกษตรกรเข้าใจถึงรายละเอียดและพร้อมใช้ประโยชน์จากกฎหมาย ว่าด้วยหลักประกันทางธุรกิจ เพราะนั่นหมายถึง ทางออกด้านการเงินที่เป็นปัญหาหลักและปัญหาใหญ่ของเกษตรกรไทยในปัจจุบัน ทำให้ได้เห็นประโยชน์ของไม้ยืนต้นที่ปลูกบนที่ดินของตนเองว่าสามารถนำมาแปลงเป็นเงินทุนต่อยอดทำธุรกิจหรือใช้สอยในชีวิตประจำวันได้โดยไม่ต้องหาหลักทรัพย์อื่นมาเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันการกู้เงินกับสถาบันการเงิน ‘ไม้ยืนต้น’ จึงเปรียบเสมือน ‘ทองคำ’ บนดินที่มีคุณค่าและพร้อมสร้างความมั่นคงในชีวิตให้แก่เกษตรกรในระยะยาว
นอกจากนี้ ผลสืบเนื่องจากการให้ความรู้เกษตรกรในพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช นายสุมิตร ศรีวิสุทธิ์ เกษตรกรอำเภอถ้ำพรรณรา ได้มีการใช้ประโยชน์จากกฎหมายว่าด้วยหลักประกันทางธุรกิจทันที หลังจากที่ได้รับความรู้และรายละเอียดเกี่ยวกับกฎหมายฯ จากกรมฯ โดยนำไม้ยืนต้นที่ปลูกบนที่ดินของตนเอง จำนวน 136 ต้น ได้แก่ ต้นสักทอง 100 ต้น ต้นตะเคียนทอง 21 ต้น ต้นแดง 9 ต้น และต้นพะยูง 6 ต้น มาเป็นหลักประกันทางธุรกิจกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) โดยกรมฯ ให้การสนับสนุนและส่งเสริมอย่างเต็มที่ ได้รับวงเงินสินเชื่อ 50,000 บาท (ราคาประเมิน 103,735 บาท) แสดงให้เห็นว่าไม้ยืนต้นสามารถเปลี่ยนเป็นเงินทุนได้จริง และมีขั้นตอนการกู้เงินที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อนอย่างที่คิด ซึ่งนายสุมิตร นับเป็นเกษตรกรรายแรกของ จ.นครศรีธรรมราช ที่ได้รับวงเงินสินเชื่อภายใต้กฎหมายว่าด้วยหลักประกันทางธุรกิจ และเป็นตัวอย่างให้เกษตรกรรายอื่นที่ปลูกไม้ยืนต้นบนที่ดินของตนเองเกิดแรงบันดาลใจในการนำไม้ยืนต้นนั้นมาขอกู้เงินจากสถาบันการเงินเมื่อต้องการเงินลงทุนหรือนำไปใช้สอยในชีวิตประจำวัน และเมื่อเวลาผ่านไปก็สามารถนำไม้ยืนต้นที่มีการเจริญเติบโตมาขอสินเชื่อเพิ่มเติมได้ตามมูลค่าต้นไม้ที่เพิ่มสูงขึ้นด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ ภายหลังการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดระหว่างกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กับ ธ.ก.ส. พบว่าในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 (ข้อมูล ณ วันที่ 15 กันยายน 2568) มีเกษตรกรนำไม้ยืนต้นมาเป็นหลักประกันทางธุรกิจแล้ว จำนวน 30,247 ต้น วงเงินรวม 1,806,000 บาท โดยต้นไม้ที่นำมาเป็นหลักประกันทางธุรกิจ เช่น ต้นสัก ตะเคียนทอง พะยูง แดง ยูคาลิปตัส ยางพารา เป็นต้น
สำหรับปีงบประมาณ 2569 กรมฯ พร้อมเดินหน้าลงพื้นที่อย่างต่อเนื่องเพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยหลักประกันทางธุรกิจแก่เกษตรกร และ SME รายย่อย หรือหากหน่วยงานภาครัฐ / เอกชน หรือกลุ่มเกษตรกรต้องการให้จัดส่งวิทยากรเพื่อให้ความรู้ฯ เพิ่มเติม กรมฯ มีความพร้อมและยินดีเป็นอย่างยิ่ง โดยสามารถติดต่อได้ที่ กองทะเบียนหลักประกันทางธุรกิจ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ โทร. 0 2547 5048, Call Center 1570, e-mail : stro@dbd.go.th และ www.dbd.go.th
นับตั้งแต่ พ.ร.บ.หลักประกันทางธุรกิจมีผลบังคับใช้ในปี 2561 จนถึงปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 15 กันยายน 2568) มีเกษตรกร และ SME ทั่วประเทศนำไม้ยืนต้นมาเป็นหลักประกันทางธุรกิจแล้ว 197,549 ต้น (316 สัญญา) วงเงินรวมกว่า 187 ล้านบาท ต้นไม้ที่นำมาเป็นหลักประกันทางธุรกิจ เช่น ต้นสัก ยาง มะฮอกกานี สะเดา ประดู่ป่า พะยูง พลวง มะม่วง เป็นต้น