พาณิชย์ เปิดเวทีฟังความเห็นนัดสุดท้าย เน้นการหารือเชิงนโยบายด้านการเปิดตลาดสินค้า บริการ และการลงทุน ก่อนเตรียมพร้อมเจรจา FTA ไทย-EU

นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รมว.พาณิชย์ กล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “วิสัยทัศน์และบทบาทของการค้าไทยในเวทีโลก” ระบุว่า การเจรจา FTA ไทย-EU เป็นหนึ่งในภารกิจสำคัญลำดับต้นของรัฐบาล เนื่องจาก EU เป็นตลาดเศรษฐกิจขนาดใหญ่ และมีมาตรฐานสูง ซึ่งจะช่วยเปิดโอกาสการค้าและการลงทุนให้กับไทยอย่างมหาศาล หากสามารถสรุปผลการเจรจาได้ภายในปี 2568 จะเป็นหมุดหมายสำคัญของการค้าระหว่างประเทศของไทย

“FTA ไทยEU เดินหน้าไปไกลแล้ว เหลือเพียงประเด็นที่ต้องเร่งเจรจาให้ได้ข้อสรุปโดยเร็ว ซึ่งเวทีในวันนี้มีความสำคัญมาก เพราะเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วน ได้สะท้อนความเห็นอย่างรอบด้านเป็นครั้งสุดท้าย เพื่อนำไปประกอบการกำหนดท่าทีของไทย โดยประเด็นการเจรจาที่ท้าทายและไม่เคยมีมาก่อน เช่น การจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ พลังงาน และวัตถุดิบ รวมถึงกติกาใหม่ในเวทีการค้าโลก ล้วนต้องได้รับการหารือร่วมกันเพื่อหาทางออกที่สมดุลที่สุด” รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า

นายจตุพร ยังได้เชื่อมโยงการเจรจา FTA เข้ากับสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ ภูมิเศรษฐกิจโลก และความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม โดยอ้างอิงรายงาน Global Risks Report 2025 ของ World Economic Forum ที่ระบุว่า Climate Change คือ ความเสี่ยงอันดับหนึ่งในทศวรรษหน้า ซึ่งจะกระทบทั้งเศรษฐกิจ การค้า และความมั่นคงด้านอาหาร

“จากการลงพื้นที่ภาคตะวันออก และภาคใต้ เห็นชัดว่าผลไม้ เช่น มังคุด ออกผลเร็วกว่าปกติ 10 วัน และราคาตกต่ำ สะท้อนผลกระทบที่ชัดเจนจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างแท้จริง นี่คือความท้าทายที่เราต้องเผชิญ และเตรียมมาตรการรองรับควบคู่ไปกับการเจรจา FTA” นายจตุพร กล่าว

พร้อมระบุถึงความจำเป็นในการขยายตลาด และสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าไทย โดยเฉพาะในภาวะที่การแข่งขันในตลาดเดิมรุนแรงขึ้น เช่น ข้าวไทย ที่ต้องแข่งขันกับประเทศผู้ส่งออกรายใหญ่ เช่น อินเดีย พร้อมมอบ KPI ให้ทูตพาณิชย์ทั่วโลกเร่งหาตลาดใหม่ ผู้ประกอบการไทยต้องสร้างนวัตกรรม แบรนด์ และดีไซน์ เพื่อเพิ่มมูลค่าเสริมแต้มต่อของสินค้าไทยบนเวทีโลก

“การเจรจาครั้งนี้ จะมีทั้งคนได้และคนเสีย แต่สิ่งสำคัญ คือ รัฐบาลต้องยึดผลประโยชน์ส่วนรวม และประชาชนเป็นหลัก ตั้งแต่เกษตรกร SMEs ไปจนถึงผู้ประกอบการรายใหญ่ ต้องได้รับประโยชน์อย่างเป็นธรรม และที่สำคัญ คือ สังคมไทยต้องก้าวไปข้างหน้าอย่างสมดุล ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม” รมว.พาณิชย์ กล่าว

ด้าน นายฉันทวิชญ์ ตัณฑสิทธิ์ รมช.พาณิชย์ กล่าวว่า การเจรจา FTA ไทย-EU ไม่ได้เป็นเพียงภารกิจของรัฐบาล แต่เป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ทั้งเกษตรกร ผู้ประกอบการ SMEs ภาคเอกชนรายใหญ่ ตลอดจนภาคประชาสังคม การเปิดเวทีเช่นนี้ ทำให้เสียงของทุกฝ่ายถูกสะท้อนเข้าสู่กระบวนการเจรจาอย่างแท้จริง

กระทรวงพาณิชย์ จึงได้มอบหมายให้ ITD ทำหน้าที่เป็นตัวกลางเชื่อมโยงข้อเสนอ และความห่วงกังวลต่าง ๆ เพื่อให้การเจรจารอบที่ 7 สามารถตอบโจทย์การพัฒนาเศรษฐกิจไทยได้ ทั้งในระยะสั้น และระยะยาว และที่สำคัญ คือ ให้ประโยชน์ตกถึงประชาชนทุกกลุ่มอย่างเป็นธรรม

ขณะที่ นายวีระพงษ์ ประภา ผู้แทนการค้าไทย ระบุว่า หนึ่งในยุทธศาสตร์หลัก ที่คณะผู้แทนการค้าไทยชุดปัจจุบันเดินหน้า คือ การเร่งเปิดตลาดใหม่ ซึ่งปัจจุบัน ไทยกับสหภาพยุโรปอยู่ระหว่างการเจรจาข้อตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) กับ EU และเป็นที่คาดหวังของรัฐบาลไทยอย่างยิ่งว่า FTA ฉบับนี้ จะช่วยเปิดประตูโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทยได้อย่างมหาศาล ท่ามกลางความผันผวนของการค้าโลกที่เป็นอยู่

ขณะเดียวกัน ไทยต้องเตรียมความพร้อมในการรับมือกับประเด็นเจรจาที่มีความท้าทายและซับซ้อน อาทิ การจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ ทรัพย์สินทางปัญญา การนำเข้าสินค้าปศุสัตว์ และสินค้าเกษตร รวมถึงกติกาใหม่ ๆ เช่น ดิจิทัลเทรด และอีคอมเมิร์ซ

“การหารือภายในประเทศอย่างรอบด้าน และการสร้างเอกภาพ จึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเข้าใจทั้งโอกาส ต้นทุน และความท้าทายที่อาจเกิดขึ้น และสามารถร่วมกันกำหนดแนวทางที่สร้างสมดุลต่อเศรษฐกิจไทย” ผู้แทนการค้าไทยระบุ

ด้าน น.ส.โชติมา เอี่ยมสวัสดิกุล อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ (จร.) เปิดเผยว่า การเจรจา FTA ไทย-EU ถือเป็นการสอดรับกับนโยบายของรัฐบาล ในการเพิ่มและสร้างโอกาสทางการค้าและการลงทุน โดยตลาด EU มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก และมีสมาชิกถึง 27 ประเทศ ซึ่งหากการเจรจาเป็นไปตามเป้าหมาย และคาดว่าเมื่อ FTA มีผลบังคับใช้ จะทำให้ไทยจะได้ประโยชน์อย่างมหาศาล ตลอดจนการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ทั้งจาก EU และประเทศอื่น ๆ ตามมา

ขณะที่ นายสุภกิจ เจริญกุล ผู้อำนวยการสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (ITD) กล่าวว่า ความตกลงการค้าเสรี (FTA) กับสหภาพยุโรป ถือเป็นหนึ่งในข้อตกลงที่มีความสำคัญสูงต่อยุทธศาสตร์การค้าของไทย การมี FTA จะช่วยลดหรือยกเลิกภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าสำคัญ รวมถึงเปิดโอกาสให้บริการและการลงทุนของไทยเข้าถึงตลาดที่มีมูลค่าสูง อีกทั้งยังยกระดับศักยภาพของไทยในการเป็นพันธมิตรทางเศรษฐกิจที่เชื่อถือได้ และแข่งขันได้บนเวทีการค้าระดับโลก

เนื่องจากสหภาพยุโรป เป็นตลาดที่มีมาตรฐานเข้มงวดในด้านสิ่งแวดล้อม ความยั่งยืน และการแข่งขันที่เป็นธรรม ซึ่งผู้ประกอบการไทยจำเป็นต้องปรับตัวให้ก้าวทัน ITD ในฐานะเวทีกลางด้านวิชาการและเป็น Think Tank ตามแนวทางการดำเนินงานของกระทรวงพาณิชย์ จึงได้จัดเวทีนี้ขึ้น เพื่อรวบรวมความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากทุกภาคส่วนอย่างรอบด้าน ครอบคลุม และนำไปสู่ประโยชน์ร่วมกันของผู้ประกอบการ และสังคมไทยโดยรวม ตลอดจนประมวลเป็นข้อมูลเชิงนโยบาย เพื่อสนับสนุนกระทรวงพาณิชย์ในการเจรจารอบต่อไป

ผู้อำนวยการ ITD กล่าวต่อว่า การเจรจา FTA ไทย-EU ในครั้งนี้ หากประเทศไทยสามารถปิดดีล และบรรลุผลตามเป้าได้ภายในปี 2568 จะเป็นหมุดหมายสำคัญในการเสริมความแข็งแกร่งให้เศรษฐกิจไทย ในการลดอุปสรรคทางการค้า และสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการไทย และเปิดประตูสู่ตลาดยุโรปอย่างยั่งยืน

“ความตกลงนี้ ไม่เพียงช่วยดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ แต่ยังช่วยลดต้นทุนการผลิต เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ตลอดจนขยายโอกาสทางการตลาดให้ผู้ประกอบการไทยทุกระดับ ตั้งแต่เกษตรกร SMEs ไปจนถึงธุรกิจรายใหญ่ ขณะเดียวกัน ITD พร้อมเดินหน้าทำหน้าที่เป็นเวทีกลางทางความคิด รวบรวมเสียงสะท้อนและข้อเสนอแนะจากทุกภาคส่วน เพื่อประมวลเป็นข้อมูลเชิงนโยบาย สนับสนุนการเจรจาให้ตอบโจทย์ และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ และประชาชน” นายสุภกิจ ระบุ

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles