นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 เปิดเผยว่า 9 เดือน ปี 2568 (มกราคม – กันยายน) มีการอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย ภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 จำนวน 770 ราย โดยเป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 201 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (ผ่านช่องทางการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน หรือได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และการใช้สิทธิตามสนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศ) 569 ราย มูลค่าเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 253,116 ล้านบาท โดยจำนวนชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุน 5 อันดับแรก ได้แก่
1. ญี่ปุ่น 142 ราย คิดเป็น 18% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย ลงทุน 76,397 ล้านบาท ในธุรกิจ อาทิ
– ธุรกิจบริการทางวิศวกรรมและเทคนิค เช่น การออกแบบแม่พิมพ์และอุปกรณ์สำหรับการผลิตยานยนต์ การให้คำปรึกษาด้านเทคนิคเกี่ยวกับกระบวนการผลิตยานยนต์ เป็นต้น
– ธุรกิจบริการพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อจำหน่าย และ/หรือ ให้บริการ
– ธุรกิจบริการรับจ้างประกอบและผลิตผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าสำหรับอุปกรณ์ตัดไฟแรงดันสูง
– ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น อุปกรณ์ต่อพ่วงสำหรับใช้กับเครื่องจักร เหล็กแผ่นเคลือบ หม้อแปลงไฟฟ้าแบบใช้น้ำมัน และชิ้นส่วนเครื่องจักรสำหรับงานก่อสร้าง
2. สหรัฐอเมริกา 116 ราย คิดเป็น 15% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย ลงทุน 4,368 ล้านบาท ในธุรกิจ อาทิ
– ธุรกิจกิจการนายหน้าหรือตัวแทนในการจัดหาผู้ให้บริการด้านการผลิตสินค้า
– ธุรกิจโฆษณา
– ธุรกิจบริการให้คำปรึกษาแนะนำเกี่ยวกับหลักสูตรการศึกษา ค่าใช้จ่าย การเดินทาง และที่พักระหว่างการศึกษาต่อ
– ธุรกิจบริการรับจ้างผลิต เช่น โลหะและชิ้นส่วนโลหะขึ้นรูป ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์สำหรับยานยนต์, DC Cable, และโลหะผสมสำหรับผลิตเครื่องประดับ
3. สิงคโปร์ 108 ราย คิดเป็น 14% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย ลงทุน 86,550 ล้านบาท ในธุรกิจ อาทิ
– ธุรกิจแปรรูปไม้เพื่อการผลิตชิ้นส่วนของใช้ครัวเรือน สุขภัณฑ์
– ธุรกิจบริการพัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับบริหารจัดการสัญญาณโทรคมนาคมและระบบวิเคราะห์ข้อมูลผู้ใช้งาน
– ธุรกิจบริการซ่อมแซมและบำรุงรักษาสินค้าประเภทนาฬิกา
– ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น เบาะนั่งรถยนต์และเบาะนั่งของเครื่องจักรกล บรรจุภัณฑ์จากเศษวัสดุทางการเกษตร, Printed Circuit Board, และชิ้นส่วนพลาสติกสำหรับอุตสาหกรรม
4. จีน 99 ราย คิดเป็น 13% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย ลงทุน 21,925 ล้านบาท ในธุรกิจ อาทิ
– ธุรกิจแปรรูปไม้เพื่อการผลิตถ่านกัมมันต์
– ธุรกิจบริการรับจ้างประกอบยางล้อรถยนต์
– ธุรกิจบริการทดสอบทางวิทยาศาสตร์ โดยเป็นการทดสอบชิ้นส่วน หรือส่วนประกอบของอุปกรณ์ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ยานยนต์
– ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น แม่พิมพ์, Flexible Printed Circuit Board, ผลิตภัณฑ์และชิ้นส่วนโลหะขึ้นรูป และชิ้นส่วนเหล็กทุบขึ้นรูป
5. ฮ่องกง 82 ราย คิดเป็น 11% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย ลงทุน 12,624 ล้านบาท ในธุรกิจ อาทิ
– ธุรกิจแปรรูปไม้เพื่อทำเครื่องเรือนและเครื่องใช้สอย ซึ่งเป็นการผลิตผลิตภัณฑ์ไม้ไผ่และไม้
– ธุรกิจบริการขุดเจาะปิโตรเลียม ภายในบริเวณพื้นที่แปลงสำรวจที่ได้รับสัมปทานในอ่าวไทย
– ธุรกิจบริการโทรคมนาคมแบบที่หนึ่ง ประเภทไม่มีโครงข่ายเป็นของตัวเอง
– ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น ชิ้นส่วนโลหะขึ้นรูป คอมเพรสเซอร์สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า ชิ้นส่วนโลหะ และอุปกรณ์ที่ใช้ในระบบนิวเมติกส์
เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 พบว่า การอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย เพิ่มขึ้น 134 ราย (21%) (เดือน ม.ค. – ก.ย.68 อนุญาต 770 ราย / เดือน ม.ค. – ก.ย.67 อนุญาต 636 ราย) และมีมูลค่าการลงทุนเพิ่มขึ้น 118,311 ล้านบาท (88%) (เดือน ม.ค. – ก.ย.68 ลงทุน 253,116 ล้านบาท / เดือน ม.ค. – ก.ย.67 ลงทุน 134,805 ล้านบาท) รวมถึงมีการจ้างงานคนไทยจากนักลงทุนที่ขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวเพิ่มขึ้น 2,631 คน (105%) (เดือน ม.ค. – ก.ย.68 จ้างงาน 5,132 คน / เดือน ม.ค. – ก.ย. 67 จ้างงาน 2,501 คน) โดยจำนวนนักลงทุนที่เข้ามาสูงสุดยังคงเป็นนักลงทุนญี่ปุ่นเช่นเดียวกับปีก่อน
นอกจากนี้ ยังพบว่า การลงทุนของต่างชาติที่เข้ามาส่วนใหญ่มาจากการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน (BOI) สูงถึง 377 ราย คิดเป็น 49% ของจำนวนการอนุญาตทั้งหมด 770 ราย มูลค่าลงทุน 199,699 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติของรัฐบาล ที่มุ่งเน้นอุตสาหกรรมอนาคต (Future Industries) เช่น เทคโนโลยีขั้นสูง ดิจิทัล AI ยานยนต์ไฟฟ้า พลังงานสะอาด และเกษตรอาหาร โดยประเภทธุรกิจที่ได้รับอนุญาตผ่านช่องทาง BOI สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่
1. ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น ผลิตภัณฑ์โลหะ/พลาสติก ชิ้นส่วนยานยนต์ เป็นต้น ซึ่งสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และการผลิตที่มีมูลค่าเพิ่มสูง
2. กิจการสนับสนุนการค้าและการลงทุน (TISO) ที่มีส่วนสำคัญในการเพิ่มบทบาทของไทยในฐานะศูนย์กลางการลงทุนและโลจิสติกส์ในภูมิภาค
3. ธุรกิจบริการด้านคอมพิวเตอร์ เช่น พัฒนาซอฟต์แวร์ และ Data Center เป็นต้น โดยตรงกับเป้าหมายเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy) และการพัฒนา Data Center และ AI Services
อธิบดีพูนพงษ์ เพิ่มเติมว่า สำหรับการลงทุนในจังหวัดพื้นที่ EEC ของนักลงทุนต่างชาติ ช่วงสามไตรมาสปี 2568 (มกราคม – กันยายน) มีนักลงทุนต่างชาติสนใจลงทุนในพื้นที่ EEC 222 ราย คิดเป็น 29% ของจำนวนนักลงทุนต่างชาติในไทย เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 จำนวน 15 ราย (7%) (เดือน ม.ค. – ก.ย.68 ลงทุน 222 ราย / เดือน ม.ค. – ก.ย.67 ลงทุน 207 ราย) โดยมีมูลค่าการลงทุนในจังหวัดพื้นที่ EEC 82,264 ล้านบาท คิดเป็น 33% ของเงินลงทุนทั้งหมด โดยเป็นนักลงทุนจาก จีน 55 ราย ลงทุน 15,665 ล้านบาท ญี่ปุ่น 52 ราย ลงทุน 28,919 ล้านบาท สิงคโปร์ 26 ราย ลงทุน 15,853 ล้านบาท และประเทศอื่นๆ 89 ราย ลงทุน 21,827 ล้านบาท
เฉพาะเดือนกันยายน 2568 มีการอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาประกอบธุรกิจในประเทศไทย 83 ราย เป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 20 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (ผ่านช่องทางการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน หรือได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และการใช้สิทธิตามสนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศ) 63 ราย เงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 27,580 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นคนต่างชาติจาก ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และจีน ตามลำดับ มีการจ้างงานคนไทย 237 คน
สำหรับธุรกิจที่คนต่างด้าวได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจในเดือนกันยายน 2568 ได้แก่
– ธุรกิจบริการทางวิศวกรรมและเทคนิค เช่น การออกแบบแม่พิมพ์และอุปกรณ์สำหรับการผลิตยานยนต์
– ธุรกิจศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ (International Business Center: IBC)
– ธุรกิจบริการให้คำปรึกษาด้านเทคนิคเกี่ยวกับกระบวนการผลิตยานยนต์ และการทดสอบประสิทธิภาพของเครื่องจักรและอุปกรณ์ เป็นต้น
– ธุรกิจบริการพัฒนาซอฟต์แวร์ และบริการ Data Center
– ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น Flexible Printed Circuit Board, ชิ้นส่วนเหล็กทุบขึ้นรูป ชิ้นส่วนเครื่องจักรสำหรับงานก่อสร้าง เป็นต้น