นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการประชุมแถลงเป้าทำงานในการผลักดันการส่งออกปี 2568 ร่วมกับภาคเอกชน ว่าการส่งออกในปี 2568 จะยังมีแนวโน้มเติบโตได้อย่างต่อเนื่องได้ โดยกระทรวงฯและภาคเอกชน ตั้งเป้าหมายร่วมกันว่าจะเติบโตที่ 2-3% เพิ่ม 2% มูลค่า 305,315.6 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 10.38 ล้านล้านบาท และเพิ่ม 3% มูลค่า 308,307.8 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 10.482 ล้านล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2567 ที่คาดว่าจะส่งออกได้ประมาณ 3 แสนล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 5% จากเป้าที่ตั้งไว้ 1-2% หรือเป็นเงินบาทประมาณ 10 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ นับตั้งแต่ไทยมีการส่งออกมา
โดยปัจจัยที่สนับสนุนการส่งออกในปี 2568 ไทยมีความพร้อมในด้านการค้า การลงทุน เศรษฐกิจกลับมาขยายตัวเป็นบวก และพร้อมที่จะทำ FTA กับทุกประเทศ ที่สำเร็จแล้ว คือ เอฟตา กำลังเจรจากับสหภาพยุโรป (อียู) เกาหลีใต้ และอีกหลายประเทศ หากสำเร็จจะเพิ่มโอกาสในการทำตลาด อีกทั้งไทยยังได้ตั้งเป้าหมายเป็นฐานการผลิตอุตสาหกรรมใหม่ ซึ่งขณะนี้มีการเข้ามาลงทุนมากขึ้น โดยเฉพาะแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCB) หากโรงงานเดินเครื่องได้ ก็จะเพิ่มยอดส่งออกได้มาก
ส่วนกรณีกรณีนโยบายทรัมป์ 2.0 ซึ่งเป็นความเสี่ยงต่อภาคการส่งออก กระทรวงฯได้วางแผนทำงานเชิงรุกไว้แล้ว ทันทีที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ รับตำแหน่งในเดือน ม.ค.2568 ซึ่งเดือน ก.พ.2568จะจัดคณะผู้แทนไทยเดินทางไปสหรัฐฯ ทันที เพื่อไปหารือและเจรจาการค้า ไปอธิบายให้สหรัฐฯ เข้าใจว่า ที่ไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ เป็นเพราะนักลงทุนสหรัฐฯ เข้ามาลงทุนในไทยและส่งออกกลับไป การปรับขึ้นภาษี ก็จะกระทบต่อนักลงทุนสหรัฐฯ เอง และเชื่อว่า ไทยจะไม่โดนปรับขึ้นภาษี เมื่อเทียบกับคู่แข่ง อย่างจีน และเวียดนาม ที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ
ขณะเดียวกัน จะหารือกับญี่ปุ่น เพื่อชักชวนนักลงทุนญี่ปุ่นให้เข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ที่ญี่ปุ่นมีแผนขยายการลงทุนอยู่แล้ว และจะผลักดันให้ญี่ปุ่น กลับมาเป็นนักลงทุนอันดับหนึ่งในไทยต่อไป
อย่างไรก็ตามยังต้องติดตาม ค่าเงินบาท ที่ขณะนี้เริ่มกลับมาแข็งค่า และแข็งไปเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ทั้งเวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ที่ค่าเงินอ่อนค่าหมด ยกเว้นไทย โดยอยากเห็นค่าเงินอยู่ที่ระดับ 36-37 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการส่งออกได้มาก
นายชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ปี 2567 การส่งออกจะสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทำได้ 300,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็น เงินบาท 10 ล้านล้านบาท โดยเป็นผลมาจากการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชนอย่างไร้รอยต่อ
ส่วนปี 2568 ที่ตั้งเป้าไว้ 2-3% มีโอกาสทำได้สูง เพราะกระทรวงพาณิชย์มีแผนทำงานร่วมกับภาคเอกชนชัดเจน จับต้องได้ สำหรับปัจจัยเสี่ยงจากสหรัฐฯ เท่าที่ฟัง มีการทำแผนรับมือความเสี่ยงไว้แล้ว และยังจะไปพบกับสหรัฐฯ ทันทีที่รัฐบาลใหม่เริ่มทำงาน ถือเป็นสิ่งที่ถูกต้อง