นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่าในการประชุมรับฟังความคิดเห็นและความต้องการของภาคเอกชนเกี่ยวกับแนวทางการส่งเสริมและยกระดับ SME ไทย ร่วมกับภาครัฐ สสว. และ 6 หน่วยงานเอกชน อาทิ สภาหอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย เครือข่ายธุรกิจ Biz Club Thailand สมาคมธนาคารไทย และสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เพื่อฟังข้อเสนอแนะช่วยลดต้นทุนค่าครองชีพ ต้นทุนธุรกิจ ให้ SME เข้าถึงแหล่งเงินทุน ปรับปรุงกฎหมายที่เป็นอุปสรรค ขยายตลาดให้ SME ไทย ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วน GDP ของ SME จาก 35% เป็น 40% ภายในปี 2570 พร้อมมอบนโยบาย “SME Next Level เสริมแกร่ง แข่งทุกตลาด” สร้างโอกาส SME ไทย
นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญกับเอสเอ็มอีเป็นเรื่องหลัก ว่าจะทำยังไงให้เอสเอ็มอีไทยไปต่อได้อย่างเข้มแข็ง วันนี้กระทรวงพาณิชย์หารือกับภาคเอกชนและตัวแทนภาคเอสเอ็มอีในการทำให้เป็น SME Next Level เสริมแกร่ง แข่งทุกตลาด ให้เอสเอ็มอีของเราสามารถไปสู้กับตลาดโลกได้ในทุกด้าน ให้สัดส่วน GDP เอสเอ็มอีของไทยจาก 35.2% เป็น 40% ภายในปี 2570 อนาคตอยากเห็นเอสเอ็มอีมีสัดส่วนเกิน 50% ในระยะยาว โดยวันนี้ภาคเอกชนมาแสดงความยินดีที่ไทยได้เจรจา FTA ไทย-อาฟตา สำเร็จ ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่และดี จะได้สามารถแข่งขันได้ในระดับโลก ทางกระทรวงพาณิชย์จะเร่งเจรจา FTA ให้มากขึ้น เพื่อให้ทันกับคู่แข่งอย่างเวียดนาม ให้เรากลับมาแข่งขันได้และการสร้างเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของเอสเอ็มอีให้สามารถส่งออกได้มากขึ้น
เอสเอ็มอีจะต้องพัฒนาธุรกิจให้ทันโลก เพราะโลกเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ที่สำคัญต้องคิดใหม่ทำใหม่คิดแบบเดิมจะสู้เขาไม่ได้ และกระทรวงพาณิชย์ตั้งใจที่จะส่งเสริมและสร้างขีดความสามารถ มีแนวคิดที่จะสร้าง Thailand Brand เพื่อการันตีคุณภาพสร้างความมั่นใจให้ผู้ซื้อ โดยกระทรวงฯจะช่วยการันตีในระยะแรกและเมื่อเขาพัฒนาต่อไปจะเป็นแบรนด์ของเขาเองในอนาคต และเราจะดันสินค้าและบริการซอฟต์พาวเวอร์หาจุดขาย เช่น เรื่องสินค้า GI เพิ่มความสะดวกในการจำหน่ายสินค้าทั้ง Online และ On ground ลดต้นทุนของเอสเอ็มอี และอนาคตโลกให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม คาร์บอนเครดิตจะมีความสำคัญมากขึ้น สินค้าของผู้ประกอบการจะต้องตอบโจทย์ตรงนี้
ขณะเดียวกันมีความเป็นห่วงเอสเอ็มอีไทยต้องการแก้ไขปัญหาสินค้าที่ไม่มีคุณภาพจากต่างประเทศ ได้แต่งตั้งให้ตนเป็นประธานคณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย บูรณาการ 28 หน่วยงาน มีการตั้งคณะอนุกรรมการฯ ขึ้นมา 2 คณะ ประกอบด้วย คณะอนุกรรมการป้องกันและป้องปรามธุรกิจอำพรางของคนต่างด้าว (Nominee) และคณะอนุกรรมการส่งเสริมและยกระดับ SME ไทย และแก้ไขปัญหาสินค้าที่ไม่มีคุณภาพจากต่างประเทศ ซึ่งขณะนี้มีความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรม และเร็วๆนี้กระทรวงพาณิชย์จะร่วมมือกับกระทรวงการอุดมการศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือ อว. ส่งเสริมให้เอสเอ็มอี มีความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น ให้สินค้าไทยมีคุณภาพสามารถขายได้มากขึ้นช่วยกระจายรายได้และยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชน
ด้านนายแสงชัย ธีรกุลวานิช ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย กล่าวว่า เห็นด้วยกับรัฐบาลที่ส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์ให้มีแต้มต่อกับรายย่อย วิสาหกิจชุมชน และเกษตรกร และสินค้าไทยมีคุณภาพ ขอให้ช่วยส่งเสริมด้านดิจิทัลให้เอสเอ็มอี สร้างแบรนด์เสริมให้เอสเอ็มอียกระดับท้องถิ่นสู่สากล ส่งเสริมการส่งออก ช่วยเศรษฐกิจฐานรากและกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่าในการประชุมรับฟังความคิดเห็นและความต้องการของภาคเอกชนเกี่ยวกับแนวทางการส่งเสริมและยกระดับ SME ไทย ร่วมกับภาครัฐ สสว. และ 6 หน่วยงานเอกชน อาทิ สภาหอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย เครือข่ายธุรกิจ Biz Club Thailand สมาคมธนาคารไทย และสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เพื่อฟังข้อเสนอแนะช่วยลดต้นทุนค่าครองชีพ ต้นทุนธุรกิจ ให้ SME เข้าถึงแหล่งเงินทุน ปรับปรุงกฎหมายที่เป็นอุปสรรค ขยายตลาดให้ SME ไทย ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วน GDP ของ SME จาก 35% เป็น 40% ภายในปี 2570 พร้อมมอบนโยบาย “SME Next Level เสริมแกร่ง แข่งทุกตลาด” สร้างโอกาส SME ไทย
นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญกับเอสเอ็มอีเป็นเรื่องหลัก ว่าจะทำยังไงให้เอสเอ็มอีไทยไปต่อได้อย่างเข้มแข็ง วันนี้กระทรวงพาณิชย์หารือกับภาคเอกชนและตัวแทนภาคเอสเอ็มอีในการทำให้เป็น SME Next Level เสริมแกร่ง แข่งทุกตลาด ให้เอสเอ็มอีของเราสามารถไปสู้กับตลาดโลกได้ในทุกด้าน ให้สัดส่วน GDP เอสเอ็มอีของไทยจาก 35.2% เป็น 40% ภายในปี 2570 อนาคตอยากเห็นเอสเอ็มอีมีสัดส่วนเกิน 50% ในระยะยาว โดยวันนี้ภาคเอกชนมาแสดงความยินดีที่ไทยได้เจรจา FTA ไทย-อาฟตา สำเร็จ ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่และดี จะได้สามารถแข่งขันได้ในระดับโลก ทางกระทรวงพาณิชย์จะเร่งเจรจา FTA ให้มากขึ้น เพื่อให้ทันกับคู่แข่งอย่างเวียดนาม ให้เรากลับมาแข่งขันได้และการสร้างเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของเอสเอ็มอีให้สามารถส่งออกได้มากขึ้น
เอสเอ็มอีจะต้องพัฒนาธุรกิจให้ทันโลก เพราะโลกเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ที่สำคัญต้องคิดใหม่ทำใหม่คิดแบบเดิมจะสู้เขาไม่ได้ และกระทรวงพาณิชย์ตั้งใจที่จะส่งเสริมและสร้างขีดความสามารถ มีแนวคิดที่จะสร้าง Thailand Brand เพื่อการันตีคุณภาพสร้างความมั่นใจให้ผู้ซื้อ โดยกระทรวงฯจะช่วยการันตีในระยะแรกและเมื่อเขาพัฒนาต่อไปจะเป็นแบรนด์ของเขาเองในอนาคต และเราจะดันสินค้าและบริการซอฟต์พาวเวอร์หาจุดขาย เช่น เรื่องสินค้า GI เพิ่มความสะดวกในการจำหน่ายสินค้าทั้ง Online และ On ground ลดต้นทุนของเอสเอ็มอี และอนาคตโลกให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม คาร์บอนเครดิตจะมีความสำคัญมากขึ้น สินค้าของผู้ประกอบการจะต้องตอบโจทย์ตรงนี้
ขณะเดียวกันมีความเป็นห่วงเอสเอ็มอีไทยต้องการแก้ไขปัญหาสินค้าที่ไม่มีคุณภาพจากต่างประเทศ ได้แต่งตั้งให้ตนเป็นประธานคณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย บูรณาการ 28 หน่วยงาน มีการตั้งคณะอนุกรรมการฯ ขึ้นมา 2 คณะ ประกอบด้วย คณะอนุกรรมการป้องกันและป้องปรามธุรกิจอำพรางของคนต่างด้าว (Nominee) และคณะอนุกรรมการส่งเสริมและยกระดับ SME ไทย และแก้ไขปัญหาสินค้าที่ไม่มีคุณภาพจากต่างประเทศ ซึ่งขณะนี้มีความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรม และเร็วๆนี้กระทรวงพาณิชย์จะร่วมมือกับกระทรวงการอุดมการศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือ อว. ส่งเสริมให้เอสเอ็มอี มีความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น ให้สินค้าไทยมีคุณภาพสามารถขายได้มากขึ้นช่วยกระจายรายได้และยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชน
ด้านนายแสงชัย ธีรกุลวานิช ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย กล่าวว่า เห็นด้วยกับรัฐบาลที่ส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์ให้มีแต้มต่อกับรายย่อย วิสาหกิจชุมชน และเกษตรกร และสินค้าไทยมีคุณภาพ ขอให้ช่วยส่งเสริมด้านดิจิทัลให้เอสเอ็มอี สร้างแบรนด์เสริมให้เอสเอ็มอียกระดับท้องถิ่นสู่สากล ส่งเสริมการส่งออก ช่วยเศรษฐกิจฐานรากและกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น