“พิชัย” ชี้เศรษฐกิจไทยโตต่ำมากว่า 10 ปี มองปี 67 มีโอกาสโต 2.7% ปีหน้าคาดขยายตัวได้ 3% 

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “Thailand 2025: Opportunities, Challenges and the Future” ในงานมอบรางวัลสุดยอดซีอีโอ ประจำปี 2567 จัดโดยสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ร่วมกับคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) พร้อมจัดงานประกาศรางวัลสุดยอดผู้นำองค์กรภาคเอกชน (สุดยอดซีอีโอ) ประจำปี 2567

โดยระบุว่าเศรษฐกิจไทยขยายตัวค่อนข้างต่ำมาเป็นระยะเวลานานมากกว่า 10 ปี เห็นได้จากตัวเลขอัตราหารขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ปีที่ผ่านมาขยายตัวได้ 1.9% ขณะที่ปีนี้คาดว่าจะขยายตัวได้ 2.7% บวกลบ คิดว่ามันควรจะมากกว่านี้ แต่มีน้ำท่วมเข้ามาแทรก ส่วนปี 68 หากอยู่บนสิ่งที่เห็น การขยายตัวน่าจะได้ถึง 3% ซึ่งผมคิดว่า 3% มันเหมือนกับการอยู่ไปแบบไม่ได้มองว่าไทยมีศักยภาพอะไรบ้าง มีโอกาสอะไรบ้าง เราก็ยอมรับได้ แต่ก็คิดว่า มันควรจะขึ้นไปได้มากกว่านี้ แต่เราอาจจะมองลึกไปถึงตอนที่ขยายตัวได้ถึง 5% เศรษฐกิจมันโตมาในระดับหนึ่ง อาจจะเห็นว่าเรียลจีดีพีที่ 3.5% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อของไทยควรอยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยค่าเงินเฟ้อของไทยอย่างต่ำควรอยู่ที่ 2% ทั้งนี้เมื่อเศรษฐกิจตกต่ำมาอย่างยาวนาน ก่อนจะมองโอกาสและความท้าทาย ต้องมองดูรอบๆ ว่าวันนี้เราอยู่ในสภาพอะไร และต้องแก้สภาพที่มีปัญหาอยู่ มองเงื่อนไขที่จะเดินไปข้างหน้า มีความพร้อมไหมที่จะเดินไป ถึงจะเรียกว่ามีความท้าทาย และโอกาสจะจับต้องได้หรือไม่

ด้านปัญหาหนี้ครัวเรือนของไทย เคยอยู่ที่ประมาณ 70-80% ต่อจีดีพี ขณะที่ปัจจุบันขึ้นมา 90% กว่าต่อจีดีพี และปรับลดลงมาเหลือ 89% โดยตัวเลขที่ลดลงไม่ได้เป็นผลจากหนี้ครัวเรือนปรับตัวดีขึ้นหรือลดลง แต่เพราะจีดีพีขยายตัวขึ้นเล็กน้อย ประกอบกับสถาบันการเงินชะลอการปล่อยสินเชื่อทั้งประชาชนและภาคเอสเอ็มอี สะท้อนว่า คนที่เป็นกำลังของประเทศหนี้ท่วม ขณะที่หนี้ของรัฐบาลปัจจุบันอยู่ที่ 65-66% โดยรัฐบาลพยายามรักษาวินัยการเงินการคลังเพื่อไม่ให้หนี้สูงและมีกรอบไว้ที่ 70% ต่อจีดีพี ซึ่งไม่ควรจะมีหนี้เกิน 14 ล้านล้านบาท ซึ่งปัจจุบันหนี้ครัวเรือนอยู่ที่ 12 ล้านล้านบาท ดังนั้นจึงเหลือช่องแค่ 1 ล้านล้านบาทเศษเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนนั้น จะต้องปรับโครงสร้างหนี้ให้กับครัวเรือน อย่างน้อยหนี้ไม่ลด แต่ภาระลด โดยหนี้เท่าเดิม หรือลดลงนิดหน่อย แต่ภาระการจ่ายลดลง มีโอกาสที่จะจ่ายยาวขึ้น ดอกเบี้ยน้อยลง เช่นเดียวกับที่ธนาคารออมสินดำเนินการมา ใช้จังหวะที่แบงก์แข็งแรงมาช่วย สำหรับที่ผ่านมา ได้หารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสมาคมธนาคารไทย เพื่อดำเนินโครงการปรับโครงสร้างหนี้ให้กับภาคครัวเรือน โดยเฉพาะรถยนต์กระบะ และอสังหาริมทรัพย์ โดยคาดว่าจะได้ความชัดเจนเร็วๆ นี้ เพื่อให้ประชาชนอยู่ได้ ขณะที่สถาบันการเงินก็จะมีโอกาสปล่อยสินเชื่อใหม่เข้าไปในระบบมากขึ้น

ด้านนโยบายการเงินของไทย อัตราดอกเบี้ยของไทยอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ โดยก่อนหน้านี้อยู่ที่ 2.5% เป็นระยะเวลานาน แต่ก็มีคนเรียกร้องให้ต่ำอีก

ขณะที่การลงทุนของนักลงทุนต่างชาตินั้น ปัจจุบันแม้จะมีความสนใจเข้ามาจำนวน แต่ทั้งนี้ต่างชาติที่ต้องการลงทุน ต้องการความยาวนาน การลงทุนสมัยใหม่นี้ หลายแสนล้านบาท การปักหลักฐานเขาจะมาอยู่กับไทยที่มีสัญญาเช่าที่นาน เช่น 99 ปี หากไม่มีสัญญาณให้เช่าขนาดนี้ โอกาสที่จะทำให้การลงทุนนั้นยากขึ้น

“99 ปี คือ ในต่างประเทศ เขาเปิดโอกาสให้ต่างชาติใครอยากซื้อที่ดินก็ซื้อได้เลย ส่วนการเช่า ถ้าจะเอาที่เช่าไปขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินก็ค่อนข้างยาก จึงเป็นที่มาของการเช่ายาว เพื่อมีสิทธิ์ในที่ เช่น ทรัพย์อิงสิทธิ์ ที่จะนำไปขอกู้กับสถาบันการเงินได้ แสดงว่ามีสิทธิในการใช้ ไปแบงก์กู้ได้ อย่ามองว่าทรัพย์พวกนี้จะตกไปที่ต่างชาติ อย่างที่ดินของรัฐที่เยอะนั้น ก็เอามาสร้างที่อยู่อาศัยให้ผู้มีรายได้น้อย แล้วก็ให้เช่าในราคาถูกระยะเวลานาน” นายพิชัย กล่าว

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles