ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า ไทยมีความต้องการใช้ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เพื่อนำมาใช้ในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ที่ยังคงเติบโตตามภาคปศุสัตว์ ไทยมีความต้องการใช้อาหารสัตว์เฉลี่ยปีละ 20 ล้านตัน ส่วนใหญ่ถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรมเลี้ยงไก่และสุกร ซึ่งข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เป็นวัตถุดิบที่มีสัดส่วนความต้องการสูงเป็นอันดับ 1 เมื่อเทียบกับพืชอาหารสัตว์อื่นๆ โดยปัจจุบันไทยมีความต้องการใช้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เฉลี่ยปีละ 8 ล้านตัน แต่ผลิตได้เองราว 4-5 ล้านตันส่วนที่เหลือจึงต้องนำเข้าจากต่างประเทศ
ไทยนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์คิดเป็นสัดส่วนราว 25% ของปริมาณการใช้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ทั้งหมด และเป็นการนำเข้าจากประเทศกัมพูชา สปป.ลาว และเมียนมา (CLM) เกือบ 100% โดยเฉพาะเมียนมาที่มีสัดส่วนการนำเข้าสูงถึง 93% แต่ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ปริมาณการนำเข้าหดตัวเนื่องจากอุตสาหกรรมการเลี้ยงสุกรของไทยประสบปัญหาโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (ASF) ประกอบกับสงครามรัสเซีย–ยูเครน ส่งผลให้เกษตรกรบางส่วนชะลอการเลี้ยงจากต้นทุนการผลิตปรับตัวสูงขึ้น และบางส่วนหันไปนำเข้าพืชทดแทนอย่างข้าวสาลีเพิ่มขึ้นจากราคาที่ปรับลดลง
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า ปริมาณการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของไทยในปี 2567 อยู่ที่ประมาณ 1.4 ล้านตัน ขยายตัวที่ราว 5.2% เมื่อเทียบกับปีก่อนที่หดตัว 9.8% ความต้องการใช้อาหารสัตว์ของไทยคาดว่าจะขยายตัวตามภาคปศุสัตว์ สะท้อนจากปริมาณการผลิตสินค้าหมวดปศุสัตว์อย่างสุกรและไก่เนื้อในปี 2567 ที่ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากปีก่อน
พืชทดแทนอย่างข้าวสาลียังมีราคาแพงกว่าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ แม้ในปี 2566ราคานำเข้าจะปรับลดลงมาใกล้เคียงกัน แต่คาดว่าในปีนี้ ราคานำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จะปรับลดลงจากปริมาณผลผลิตที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเมียนมาที่คาดว่าผลผลิตในปี 2567 จะเพิ่มขึ้นจากปีก่อนราว 8% (USDA) ขณะที่ปริมาณการน าเข้าข้าวสาลีอาจมีข้อจำกัดตามมาตรการ 3:1 จากผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศที่ลดลง
การนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากประเทศ CLM อยู่ภายใต้ความตกลง ASEANTrade in Goods Agreement (ATIGA)3 ท าให้ผู้น าเข้าได้รับการยกเว้นภาษี นำเข้า รวมถึงต้นทุนค่าขนส่งต่ำ จึงมีความได้เปรียบกว่าประเทศอื่นๆ การลดการพึ่งพาการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากประเทศ CLM อาจจะเป็นไปได้ยาก เนื่องจากปริมาณผลผลิตในประเทศยังไม่เพียงพอกับความต้องการ ขณะที่
การมองหาตลาดใหม่เพื่อทดแทนการน าเข้าจากประเทศดังกล่าว หรือแม้แต่การหันไปใช้พืชอื่นทดแทน อาจจะต้องพิจารณาในเรื่องของต้นทุน รวมถึงคุณค่าทางโภชนาการของวัตถุดิบอาหารสัตว์แต่ละประเภทที่แตกต่างกัน