นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ( ททท. ) กล่าวว่า หลังจากเมื่อวันเสาร์ที่ 28 ที่มีการลงนามของรัฐบาลไทยกับจีนใช้มาตรการฟรีวีซ่า พบว่า มีการค้นหาแหล่งข้อมูลท่องเที่ยวในประเทศไทยบน Ctrip เพิ่มกว่า 7 เท่า สถานที่ที่ชาวจีนเข้ามาค้นหามากสุด 5 อันดับแรกได้แก่ กรุงเทพ–ภูเก็ต–เชียงใหม่–เกาะสมุย–พัทยา
ผู้ว่าการททท. กล่าวต่อไปว่า ประเทศไทยจะมีโอกาสสร้างรายได้ท่องเที่ยวรวมในปี 2567 ราว 3 ล้านล้านบาทภายใต้จำนวนนักท่องเที่ยวที่คาดการณ์ไว้ในปีนี้ที่ 35 ล้านคน ซึ่งจะเกิดปรากฏการณ์เมืองไทยจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวคุณภาพครั้งแรกที่สร้างรายได้กลับไปมากเป็นประวัติการณ์เท่ากับปี 2562 ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวในปีนี้ที่ยังไม่เท่ากับช่วงก่อนเกิดโควิด-19 ที่ 39.8 ล้านคน รายได้ 3 ล้านล้านบาทจะมาจาก 3 กลยุทธ์สำคัญ ได้แก่ กระตุ้นความถี่การเดินทางไปทั่วทุกภูมิภาคของไทย เพิ่มจำนวนเฉลี่ยวันพักในไทย เพิ่มการใช้จ่ายเฉลี่ยของนักท่องเที่ยวมากขึ้นกว่าเดิม
ททท.จะเน้นเพิ่มใช้จ่ายเฉลี่ยนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เป็นทริปละ 60,000 บาทจากปัจจุบันเฉลี่ยทริปละ 52,000 บาท โดย 3 ตลาดสำคัญ เน้นตลาดซาอุดิอาระเบียเข้าไทย เนื่องจากเป็นตลาดใหม่แต่ที่น่าสนใจมาก ขณะนี้มีจำนวนชาวซาอุฯเข้าไทยแล้ว 180,000 คน ด้วยการพักเฉลี่ยในไทยเกือบ 20 วัน มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยทริปละเกือบ 100,000 บาท คาซัคสถานมีเข้ามาถึง 160,000 คนจากนโยบายฟรีวีซ่า อินเดียเดินทางเข้าไทยปีนี้คาดว่าจะมีถึง 3 ล้านคนจาก 1.68 ล้านคนในปีผ่านไป หรือเติบโต 1.8 เท่า
ทั้งนี้ ททท.ผลักดันยุทธศาสตร์ดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทยด้วย 4 More(4 มอร์) ได้แก่ More Area เปิดแหล่งท่องเที่ยวทั้งเมืองหลักเมืองรองมากกว่าเดิม More Activity คือการเติบโตซอฟต์พาวเวอร์สร้างกิจกรรมระดับโลกมากขึ้น More Alliance เน้นการเพิ่มจำนวนสายการบินและเที่ยวบินทั้งประจำและเช่าเหมาลำ เส้นทางครุยส์ และ More Amazing ได้แก่ ความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวต่างชาติ และความยั่งยืนของการักษาทรัพยากรท่องเที่ยว
