นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก “Phumtham Wechayachai” เกี่ยวกับข้าว 10 ปี โดยมีรายละเอียด ดังนี้
ใช้ข้อมูลและความรู้วิจารณ์ “ข้าว 10 ปี” เพื่อประโยชน์ของประเทศ ดีกว่าใช้จินตนาการนำความจริง
จากรายงานข่าวที่มีผู้กล่าวอ้างว่า ได้ทำการตรวจสอบข้าวสารในโกดังโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งจะนำออกประมูลขายและอ้างว่าตรวจพบ สารก่อมะเร็ง
ข้อเท็จจริงจากอดีตถึงปัจจุบันไม่เคยตรวจสอบพบว่าข้าวของรัฐที่นำออกประมูลขายมีสารปนเปื้อนในระดับที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพเลย และไม่เคยมีรายงานจากการวิเคราะห์วิจัยว่าการเก็บข้าวและจำนวนปีการเก็บข้าวทำให้เกิดสารพิษที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพหากมีการเก็บรักษาที่ถูกต้องตามมาตรฐาน
ยิ่งในปัจจุบันการพัฒนาเทคโนโลยีมีความทันสมัยมากขึ้น จึงทำให้กระบวนการปรับปรุงคุณภาพข้าวก่อนทำการนำออกจำหน่ายไม่ว่าจะเป็นในประเทศ หรือ ต่างประเทศแต่ละครั้ง จะมีการนำข้าวไปขัดสี ปรับปรุงเมล็ดข้าว
จนเข้าเกณฑ์ food safety ตามมาตรฐานสากลเสียก่อน จึงสามารถทำการส่งออกหรือกระจายสู่ผู้บริโภคได้
ทั้งนี้ ภาคเอกชนที่ประกอบธุรกิจค้าขายข้าว และสมาคมข้าว ก็ต้องสร้างความมั่นใจให้ผู้ซื้อโดยมีระบบในการตรวจสอบสินค้านำเข้าของเขาอีกด้านหนึ่ง ซึ่งเป็นบริษัทเซอร์เวย์เยอร์ระดับมาตรฐานโลก เข้าทำการตรวจสอบสินค้าอยู่แล้ว ซึ่งเป็นการดำเนินการตามขั้นตอนปกติ
กรณี “สารก่อมะเร็ง” ที่มีการอ้างถึงนี้ส่วนใหญ่จะพบในรำข้าวที่เกาะอยู่ในเมล็ดข้าวโดยยังไม่ได้มีการปรับปรุง หากมีการปรับปรุงเเละขัดสีแล้ว สารตัวนี้จะมีปริมาณลดลงกว่านี้มาก จนอยู่ในปริมาณที่ปลอดภัยต่อการบริโภค
ในฐานะที่ผมเป็น รมว.กระทรวงพาณิชย์ เจตนาผมเพียงต้องการนำเอาข้าวที่ตกค้างอยู่ในสต็อก 2 โกดังสุดท้ายออกมาประมูลเพื่อนำรายได้กลับคืนคลัง ดีกว่าปล่อยให้ค้างเน่าเสีย (จริงๆ) จนไม่มีราคา
การประมูลข้าวครั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ ไม่มีอำนาจไปกำหนดว่าเอกชนที่ชนะการประมูลจะนำไปใช้ประโยชน์อย่างไร เท่าที่ทราบ นอกจากธุรกิจส่งออกข้าวเก่าซึ่งมีตลาดในแถบแอฟริกาใต้แล้ว โรงงานกลั่นสุรา ก็ให้ความสนใจ
การเปิดให้มีการพิสูจน์ข้าวครั้งนี้ เจตนาผมเพียงต้องการที่จะสะสางปัญหาที่คั่งค้างอยู่อย่างโปร่งใส จึงเชิญทุกฝ่ายตั้งแต่ผู้ตรวจสอบข้าวตามมาตรฐานสากล /เจ้าของโรงสีและผู้ประกอบการการค้าข้าวที่มีประสบการณ์ในการตรวจข้าว /สื่อมวลชนไม่จำกัดสำนักจำนวนกว่า 30 ราย มาทำหน้าที่พิสูจน์ความจริงให้ประชาชนทราบ รวมทั้งผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้บังคับการจังหวัดที่เป็นหัวหน้าหน่วยราชการประจำจังหวัด
แต่เนื่องจากข้าวสองโกดังนี้ มีการเก็บมานานเป็นเวลาประมาณ 10 ปี ผมได้รับการร้องเรียนจากเจ้าของโกดังเก็บข้าวนี้ว่า ข้าว 2 กองนี้เป็นข้าวของรัฐ ปล่อยให้เขาเก็บรักษานานนับ 10 ปีแล้วไม่ทำอะไรให้มีความคืบหน้า
ประเทศชาติ ก็จะเสียประโยชน์ อีกทั้งเจ้าของโกดังที่เป็นผู้เก็บรักษาข้าวก็เสียโอกาสในการนำโกดังข้าวไปทำมาค้าขาย
กระแสข่าวที่ออกมาให้ร้ายประเด็นต่างๆ ยังขาดความเข้าใจกระบวนการเก็บข้าว การประมูล การตรวจสอบคุณภาพข้าว และการส่งออกของประเทศ ซึ่งเป็นกลไกกระบวนการที่ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายทำงานร่วมกันภายใต้มาตรฐานที่กำหนด ไม่ใช่เป็นการตัดสินใจกระทำการโดยลำพังเพื่อผลประโยชน์ของใคร
ผมมีความเสียใจอย่างยิ่งที่การตั้งใจสะสางงานในหน้าที่ให้แล้วเสร็จเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติโดยรวมในครั้งนี้กลับถูกแปรเจตนาเป็นอื่นและใช้อคติหรือการแบ่งฝักฝ่ายมาด้อยค่าคุณภาพข้าวไทย จนก่อให้เกิดกระแสความไม่ไว้วางใจในคุณภาพสินค้าข้าวของไทย
ผมขอเสนอให้ใช้ข้อมูล และความรู้ที่ถูกต้อง วิเคราะห์อย่างเป็นธรรมว่า กระบวนการซื้อขายข้าวที่จะนำมาประมูลเป็นไปตามระบบและกระบวนการที่ควรจะเป็น จะเกิดผลดีต่อประเทศชาติมากกว่าหรือไม่? เพราะกระบวนการตรวจสอบตามระบบมีความน่าเชื่อถือ และเป็นไปตามหลักสากลอยู่แล้ว
เรื่อง “ข้าว 10 ปี” หากวิพากษ์วิจารณ์ โดยมี “อคติทางการเมือง” และ “จินตนาการ” มาชี้นำ “ความจริง” จนกลายเป็นการด้อยค่าข้าวไทย จนทำให้ประเทศเสียประโยชน์ ผมเชื่อมั่นว่าทุกคนในสังคมไทยไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น และยังอยากเชื่อโดยสุจริตว่า ทุกท่านคงไม่อยากเห็นการสร้างวาทกรรมเปลี่ยนข้าวดีเป็นข้าวเน่า ทำให้รัฐเสียประโยชน์มหาศาลอย่างที่แล้วมา